จากการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เห็นว่าค่าเฉลี่ยมาร์เก็ตแคปของหุ้นที่จะนำมาอ้างอิงการออก DW ควรจะไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทใน 4 ไตรมาส ซึ่งเบื้องต้นมองว่ามีหุ้นราว 25-30 ตัว จาก 75 ตัวที่สามารถนำมาอ้างอิงได้ตามเกณฑ์ดังกล่าว คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงกลางปีนี้ และน่าจะเสนอขายได้ภายในไตรมาส 3/56
นอกจากนั้น หลังจากเดือนก.พ.56 ที่บริษัทได้เริ่มเสนอขาย iDW ที่มีอายุยาวถึง 1 ปี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์กับนักลงทุนระยะกลางและยาว ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ทำให้มูลค่า DW ของ บล.ภัทรที่ถือครองโดยนักลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 40% ด้วยระยะเวลา 3 เดือนตั้งแต่ต้นปี จากเฉลี่ยปีก่อนที่ 3% และในวันพรุ่งนี้ (9 พ.ค.) จะเสนอขาย iDW อายุยาวสุดถึง 2 ปี เป็นรายแรกของไทย ทั้งหมด 7 รุ่น แบ่งเป็น Call iDW อายุ 2 ปี ในหุ้น BGH (BGH06CB) BLA (BLA06CA) CPF (CPF6CC) JAS (JAS06CA) TCAP (TCAP06CB) และ Put iDW อายุ 1 ปี ในหุ้ร KBANK (KBANK6PB) SCB (SCB06PE)
ปัจจุบัน บล.ภัทร มีส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)การเสนอขาย DW(คำนวณจากมูลค่า DW ที่ถือครองโดยนักลงทุน) อยู่ในอันดับ 2 หรือ 30% ขณะที่อันดับ 1 คือ บล.บัวหลวง อยู่ที่ 50%
"เป้าการออก DW ปีนี้ ในแง่ของแผนธุรกิจเรามุ่งเตรียมความพร้อม ความสามารถในการขยายธุรกิจจากการที่เห็น flow และเห็นการเติบโต ในแง่ของอันดับเราไม่ได้ตั้งเป้า แต่สิ่งสำคัญคือให้นักลงทุนที่ซื้อไปแล้วได้กำไรน่าจะดีกว่า ภาพรวมตลาด DW ปัจจุบันมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 650 ล้านบาท คิดเป็น 1% ของมูลค่าการซื้อขายตลาดรวม ซึ่งตรงนี้ยังมี room ที่จะเติบโตอีกค่อนข้างมาก ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงมีสัดส่วน 10-20%"นายนภดล กล่าว