ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 48.92 จุด หรือ 0.32% แตะที่ 15,105.12 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 6.73 จุด หรือ 0.41% แตะที่ 1,632.69 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 16.64 จุด หรือ 0.49% แตะที่ 3,413.27 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งของข้อมูลการค้าของจีนและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนี โดยกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนีเปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวขึ้น 1.2% ในเดือนมี.ค. จากเดือนก.พ.ที่ขยายตัว 0.6% นับเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเยอรมนีกำลังกลับมาขยายตัวอีกครั้ง
ขณะที่สำนักงานศุลกากรจีนรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนเม.ย.ของจีนเพิ่มขึ้น 14.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่ยอดการนำเข้าขยายตัว 16.8% ส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้า 1.816 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย ส่วนมูลค่าการค้าต่างประเทศเดือนเม.ย.ของจีนขยายตัว 15.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วกว่าเดือนมี.ค.ที่ระดับ 12.1%
หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น โดยหุ้นอัลโค อิงค์ พุ่งขึ้น 2.7% ขณะที่หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ดีดตัวขึ้น 1.3%
หุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ พุ่งขึ้น 3.3% ขณะที่หุ้นฮิวเล็ตต์-แพคการ์ด พุ่งขึ้น 2.8%
ส่วนหุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ขยับลง 0.12% แม้บริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดก็ตาม
นักลงทุนจับตาดูกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 4 พ.ค.ในวันพฤหัสบดีเวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานจะอยู่ที่ 335,000 ราย เพิ่มขึ้นจาก 324,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐจะเปิดเผยยอดเกินดุลงบประมาณเดือนเม.ย.ในเวลา 01.00 น.ตามเวลาไทยในวันเสาร์นี้ โดยมีการคาดการณ์ว่าสหรัฐจะมียอดเกิน ดุลงบประมาณที่ 1.065 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย. หลังจากขาดดุล1.070 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค.