"บริษัทมีการคัดเลือกงานที่ให้กำไรแก่เรามาก งานที่มีกำไรน้อยก็อาจจะไม่เอา โดยไฮไลท์ของเราอยู่ที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้นมากกว่าทุกปีที่มีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย 3% ต่อปี อีกทั้งเรายังเน้นคุณภาพในการทำธุรกิจให้มีรายได้มั่นคงต่อเนื่อง"นายกังวาล กล่าว
สำหรับสัดส่วนรายได้ในปีนี้จะเพิ่มรายได้จากภาคเอกชนเป็น 30% ภาครัฐ 70% จากเดิมภาคเอกชน 20% ภาครัฐ 80% โดยเน้นคุณภาพรายได้ที่มั่นคงต่อเนื่อง เช่นงานให้บริการที่มีสัญญาให้ต่อเนื่อง 2-3 ปี และมีรายได้ต่อเดือนแน่นอน งานซ่อมบำรุงที่มีรายได้ต่อเดือนหรือต่อปีแน่นอน เพื่อให้เป็นรายได้พื้นฐานมาดูแลบริษัท โดยจะเน้นงานที่เป็น Non-Project มากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทลูกที่ให้บริการสินค้าเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยและสินค้าเฉพาะ คาดว่าปีนี้จะทำรายได้ราว 300 ล้านบาท
"รายได้จากการประมูลงานภาครัฐมีช่วง Peak เป็นช่วงๆทำให้รายได้ไม่ต่อเนื่อง จึงต้องนำมาผสมกับงานภาคเอกชนบ้าง โดยจะเน้นงานจำพวก Non-Project มากขึ้น ที่บริษัทลูกของเราผลิตสินค้าเกี่ยวกับความปลอดภัยและสินค้าเฉพาะ และหาช่องทางธุรกิจอื่นๆในการให้บริการ อย่างเช่น แบงก์ ซึ่งงาน Non-Project มีความเสี่ยงน้อยกว่างานภาครัฐที่งานต้องแม่นยำ ตรงเวลา ขณะที่งบประมาณและระยะเวลาโครงการขึ้นกับการเมือง"นายกังวาล กล่าว
ในปีนี้บริษัทมองโอกาสในการรับงานค่อนข้างมากจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในระบบโทรคมนาคมและการสื่อสาร โดยอยู่ระหว่างเตรียมเข้าประมูลและเสนองานใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชนเกือบ 4 พันล้านบาท คาดว่าจะได้รับงานไม่ต่ำกว่า 50% โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบโทรคมนาคมในยุค 3G แถวที่ 2 เช่น การติดตั้งและการพัฒนาปรับปรุงระบบ ติดตั้งเสาส่งสัญญาณ และติดตั้งเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ โดยบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเพื่อเป็น Sub-contract ในการติดตั้งเสาส่งสัญญาณ
รวมทั้งโครงการ 3G เฟส 2 ของบมจ.ทีโอที แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการเป็นให้ผู้ติดตั้งเสาส่งสัญญาณว่าจะมีการว่าจ้างเป็นรายเดียวหรือแบ่งเป็นโซน ซึ่งบริษัทมีความพร้อมและศักยภาพเพียงพอในการติดตั้งระบบ อีกทั้งบริษัทยังเป็นตัวแทนจำหน่าย Network ให้กับโนเกียและซีเมนส์ และล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับอิริคสันด้วย
บริษัทยังเตรียมความพร้อมในการสร้างรายได้แหล่งใหม่ ซึ่งเป็นรายได้ประจำในระยะยาว จากการจัดตั้งสายธุรกิจ Digital TV & Broadcast ซึ่งครอบคลุมการจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์เครื่องรับสัญญาณดิจิทัลทีวี (Set Top Box) พร้อมบริการหลังการขายระดับมืออาชีพ โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในการแบ่งสัดส่วนงาน ซึ่งมีผู้ประกอบการหลายรายเข้าร่วมประมูล แต่บริษัทคาดว่าจะแบ่งสัดส่วนของงาน Set Top Box ได้ราว 1 ใน 4 ของ 22 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ
ส่วนงานด้านการขายบริการโครงข่ายดิจิทัลทีวี ขณะนี้กำลังนำเสนองานให้กับ บมจ.อสมท. (MCOT) และกรมประชาสัมพันธ์ คาดว่าจะมีมูลค่างานที่บริษัทสามารถมมีส่วนร่วมราว 200-300 ล้านบาท พร้อมมองงานที่สร้างรายได้ต่อเนื่องคือการพัฒนา Middleware และ Software โดยจะเป็น Middleware ที่เกี่ยวข้องกับห้องส่ง ห้องผลิตรายการ และเครื่องส่งสัญญาณ โดยบริษัทได้มีการพัฒนาบุคคลากรของบริษัทให้มีความรู้ความชำนาญในระบบ โดยใช้เงินลงทุนในการพัฒนาบุคคลากรประมาณ 6 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนการขยายธุรกิจด้านการจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน โดยบริษัทได้รับงานโครงการระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Light)ของภาครัฐ ซึ่งมูลค่าตลาดรวมของโครงการนี้มีอยู่มาก แต่ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
นายกังวาล กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมี Backlog กว่า 200 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีนี้ และคาดว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านบาทเมื่อสิ้นไตรมาส 2/56 และจะรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปีนี้เช่นกัน เนื่องจากงานส่วนใหญ่เป็นงานระยะสั้นที่มีกำหนดส่งมอบภายใน 3-9 เดือน ทั้งนี้คาดว่าในช่วงไตรมาส 3/56 เป็นช่วงที่บริษัทจะมีรายได้สูงสุดของปีเนื่องจากเป็นช่วงภาครัฐมีงบประมาณออกมาพัฒนาโครงการ โดยงานในครึ่งปีหลังจะมากกว่างานในครึ่งปีแรก
นายกังวาล กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทมีสภาพคล่องสูง มีกำไรสะสมเพิ่มสูงขึ้น อัตราส่วนหนี้ส้นต่อทุน (D/E) ลดลงจากกว่า 3 เท่า เป็น 1.02 เท่า เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งบริษัทมีระบบการบริหารความเสี่ยงในการเลือกคัดสรรงานและวินัยทางการเงินที่ดี ทางคณะกรรมการบริษัทจึงมีแผนที่จะพัฒนาโครงสร้างและรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เพื่อยกระดับบริษัท รวมไปถึงการปรับสภาพคล่องของหุ้น IRCP ในตลาดหลักทรัพย์
บริษัทจะมีการจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) เข้ามาช่วยในการศึกษารูปแบบและความเป็นไปได้ในการเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น โดยขณะนี้มีอยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกที่ปรึกษาทางการเงินจาก 2-3 รายที่เสนอตัวเข้ามา โดยจะสามารถได้ข้อสรุปในวันที่ 15 พ.ค. 56 เบื้องต้นการเพิ่มสภาพคล่องหุ้นของบริษัทมีได้หลายวิธี อย่างเช่น การแตกพาร์จาก 2 บาท เป็น 1 บาท ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งเช่นกัน
ขณะเดียวกัน การที่บริษัทมีการเติบโตมากขึ้นทำให้มีพันธมิตรในประเทศ 2 รายเข้ามาเจรจาถือหุ้นในลักษณะการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนแบบเจาะจง (PP) ซึ่งการที่จะเข้ามาถือหุ้นของบริษัทต้องมีประโยชน์แก่บริษัท โดยเฉพาะการมีแนวคิดในการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับบริษัท
"การที่บริษัทเราเติบโตจากการปรับองค์กรครั้งใหญ่ก็มีพันธมิตรเข้ามาเจรจาขอเข้าถือหุ้นของบริษัทในรูปแบบ PP โดยเป็นพันธมิตรในประเทศ 2 รายเข้ามาเจรจา และพันธมิตรที่เข้าเจรจาอยู่คนละกลุ่มกับธุรกิจเรา ซึ่งเราต้องมีการเจรจาเกี่ยวกับการเข้าถือหุ้นนั้นจะมีประโยชน์ต่อบริษัทและมีความมั่นคงในระยะยาว ต้องมีแนบคิดการสร้างรายได้ที่มั่นคง การพัฒนาเทคโนโลยี โดยเราได้คุยกับพันธมิตรเกี่ยวกับการนำ Solution งาน และรายได้ที่มั่นคงเข้ามาให้กับบริษัท ถ้าสัดส่วนรายได้มากขึ้น หรืออาจจะทำให้เราพลิกเข้าไปอยู่ในกลุ่มอื่น อย่างเช่นกลุ่มพลังงาน"นายกังวาล กล่าว