นอกจากนี้ เห็นว่า ปตท.สผ.ควรกระจายความเสี่ยงการลงทุน โดยพิจารณาลงทุนในพื้นที่ที่มีศักยภาพปิโตรเลียมอื่นๆ หรืออาจจะใช้วิธีการรับซื้อก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นๆ ก็ได้ หรืออาจจะมีพันธมิตรร่วมลงทุนด้วย เพื่อลดจำนวนเงินที่ ปตท.สผ.ต้องจ่าย เนื่องจากการลงทุนด้านปิโตรเลียมมีทั้งความเสี่ยงและใช้เงินในการลงทุนจำนวนมาก
“การลงทุนในโมซัมบิกที่ ปตท.สผ.ซื้อหุ้นมาแล้ว 8.5% เป็นสัดส่วนที่เพียงพอแล้วที่จะยืนยันว่าจะได้ก๊าซฯ จากแหล่งนี้ที่มาผลิตเป็นก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) เพื่อส่งมาประเทศไทย"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า หาก ปตท.สผ.ไม่ต้องลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมาก บมจ. ปตท. (PTT) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหาในเรื่องการลงทุนในโครงการใหม่ๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT แสดงความกังวลต่อความต้องการใช้พลังงานที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตของประเทศไทย และทำให้ประเทศไทยต้องมีการนำเข้า LNG จำนวนมาก เพื่อมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าในประเทศ
การจะซื้อ LNG ที่มีความมั่นคงจะต้องใช้วิธีเข้าไปซื้อหุ้นในแหล่งนั้นๆ ซึ่งบางแหล่งอาจจะเป็นแหล่งใหญ่ ทำให้ ปตท.ต้องใช้เงินมาก จึงอยากจะให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือโดยอาจจะใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำเงินทุนสำรองเงินตราของประเทศมาลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นพลังงาน นอกเหนือจากเก็บเป็นเงินหรือทองคำ แต่รัฐบาลยังไม่ตอบรับแนวคิดนี้
ทางด้านนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTEP กล่าวว่า ปตท.สผ.ยังไม่สนใจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในแหล่งโมซัมบิก อย่างไรก็ดี ขอไม่แสดงความเห็นว่า ปตท.สผ. จะยื่นข้อเสนอในการซื้อหุ้นในโครงการนี้หรือไม่ เนื่องจากอยู่ระหว่างเสนอราคาขายหุ้นจึงอาจจะไม่เหมาะสมที่จะพูดออกไป นอกจากนี้ ปตท.สผ.เพิ่งจะเพิ่มทุนไปประมาณ 9 หมื่นล้านบาทเมื่อเร็วๆ นี้ จึงหวังว่าจะไม่ต้องทำการเพิ่มทุนอีกครั้งในสมัยที่ตนเองยังบริหารงานใน ปตท.สผ.อยู่
เมื่อสัปดาห์ก่อนมีรายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศสำนักหนึ่ง รายงานว่า กลุ่มบริษัท ออยล์ แอนด์ เนเชอรัล แก๊ส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ONGC) และบริษัท น้ำมันอินเดีย จำกัด (OINL) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของประเทศอินเดีย มีการเสนอเงื่อนไขการซื้อหุ้น โดยเสนอซื้อราคาประมาณ 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 170,000-180,000 ล้านบาท)
ทั้งนี้ ยอมรับว่าหาก ปตท.สผ.จะซื้อหุ้นในส่วนนี้จริง จะต้องมีการเพิ่มทุนอีกครั้ง โดยปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.35 เท่า และมีนโยบายที่จะมี D/E ไม่เกิน 0.5 เท่า ซึ่งจะทำให้กู้เงินเพิ่มได้ประมาณ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อบวกกับกระแสเงินสดที่มีอยู่ในปัจจุบันประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับ ปตท.สผ. มีงบลงทุนประมาณ 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเพียงพอต่อการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มสัดส่วนไม่เกิน 10% เท่านั้น หากต้องซื้อหุ้นถึง 20% จะต้องมีการเพิ่มทุนอีกครั้ง