ทริสฯคงเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ไม่มีประกัน SIRI ที่ BBB+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 10, 2013 10:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. แสนสิริ (SIRI) ที่ระดับ “BBB+" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB" ในขณะเดียวยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB" ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในไตรมาส 3/56

นอกจากนี้ได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Positive" หรือ “บวก" จาก “Stable" หรือ “คงที่" ด้วย สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่ดีขึ้นอย่างเด่นชัด ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทในปี 2555 เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งสะท้อนถึงสถานะที่โดดเด่นทั้งในตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัท ตลอดจนผลงานที่ได้รับการยอมรับในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แบรนด์ที่มีชื่อเสียงในตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร ความหลากหลายของสินค้า และยอดขายรอการส่งมอบจำนวนมากที่จะรับรู้รายได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงไปบางส่วนจากการที่บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง รวมถึงความกังวลในด้านต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นและภาวะการขาดแคลนแรงงานในปัจจุบันด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive" หรือ “บวก" สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัททั้งในส่วนของยอดขายและกำไร ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถคงอัตราส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่อทุนได้ต่ำกว่า 1.5 เท่าอย่างสม่ำเสมอ ในทางตรงข้าม หากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องมีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตลง

SIRI เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ณ เดือนมีนาคม 2556 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยจำนวน 99 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 127,000 ล้านบาท โดยประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม 61% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด บ้านเดี่ยว 31% และทาวน์เฮ้าส์ 8% ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของที่อยู่อาศัยโดยรวมอยู่ที่ 3.5 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่าสูงถึง 56,000 ล้านบาท หรือเกือบ 2 เท่าของรายได้ในปี 2555 และมีมูลค่าเหลือขายอีกประมาณ 40,000 ล้านบาท บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีแบรนด์ที่อยู่อาศัยที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี รวมถึงการมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่ง และสินค้าที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดคอนโดมิเนียม

ยอดขายของบริษัทในปี 2555 ทำสถิติสูงสุดที่ 42,593 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 เท่าจาก 21,792 ล้านบาทในปี 2554 ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 ยอดขายเท่ากับ 20,900 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งปีของปี 2555 ยอดขายที่เติบโตขึ้นเป็นผลมาจากการที่บริษัทเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมากในช่วงปี 2555 จนถึง 3 เดือนแรกของปี 2556 โดยโครงการที่เปิดใหม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้ยอดขายคอนโดมิเนียมอยู่ที่ระดับสูงสุดที่ 28,553 ล้านบาทในปี 2555 และยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 17,836 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2556 ยอดขายจากโครงการบ้านเดี่ยวอยู่ที่ 2,400-2,900 ล้านบาทต่อไตรมาสในช่วง 5 ไตรมาสหลังสุด อย่างไรก็ตาม ยอดขายทาวน์เฮ้าส์ของบริษัทนั้นต่ำกว่าในอดีต โดยลดลง 14% เป็น 3,614 ล้านบาทในปี 2555 และลดเหลือ 515 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 จาก 1,195 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2555 ยอดขายที่สูงของคอนโดมิเนียมทำให้บริษัทมียอดสินค้าที่รอการส่งมอบสูงขึ้นมาก

รายได้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเป็น 29,821 ล้านบาทในปี 2555 โดยเพิ่มขึ้น 45% จาก 20,542 ล้านบาทในปี 2554 อันเนื่องมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากสินค้าทุกประเภท ทั้งนี้ รายได้จากคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นมากถึง 60% เป็น 14,913 ล้านบาทในปี 2555 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของบริษัท รายได้จากบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เติบโต 32% และ 37% จากปี 2554 ตามลำดับ อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ที่ 33%-34% ของรายได้รวมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจาก 28%-29% ในช่วงปี 2549-2552 อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยเป็น 14% ในปี 2555 จาก 15%-16% ในช่วงปี 2552-2554 ทั้งนี้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทยังคงสูง ซึ่งทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำส่วนใหญ่

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูง และอัตราส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่อทุนอยู่ที่ประมาณ 1.7 เท่าในช่วงปี 2553-2555 เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1-1.3 เท่าในช่วงปี 2550-2552 สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 12% ในช่วงปี 2552-2554 และ 14% ในปี 2555 สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินสดประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2554-2555 และวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวนมากอีกประมาณ 22,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2555 นอกจากนี้ เงินสดที่ได้รับจากการส่งมอบยอดขายที่รอรับรู้รายได้จะช่วยลดภาระหนี้ที่ต้องใช้สำหรับการขยายธุรกิจของบริษัทด้วย ฉะนั้น บริษัทจะต้องรักษาอัตราส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 1.5 เท่าภายในปี 2557


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ