การลงทุนดังกล่าวช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและการทำตลาดอิฐมวลเบาตราเพชร โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือ ที่มีอัตราการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ดี และมีการหันมาใช้อิฐมวลเบาก่อสร้างผนังทดแทนอิฐมอญ เพื่อช่วยควบคุมด้านต้นทุนการก่อสร้างทั้งค่าแรงและระยะเวลาก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“การลงทุนครั้งนี้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจของ DRT ที่จะลงทุนในด้านที่เกี่ยวข้องกับวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้มีสินค้าหลากหลาย ครบถ้วน พร้อมจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในแบรนด์เดียว โดยอิฐมวลเบานั้น ตราเพชรก็ได้ลงทุนสร้างโรงงานใหม่ไปแล้ว เมื่อรวมกับการเข้าซื้อโรงงานแห่งนี้ จะทำให้มีกำลังการผลิตอิฐมวลเบารวม 5.2 ล้านตารางเมตรต่อปี สามารถรองรับความต้องการใช้อิฐมวลเบาที่มีอัตราการขยายตัว 20-25% ต่อปี" นายอัศนี กล่าว
การตั้งบริษัทย่อยและเข้าซื้อโรงงานอิฐมวลเบาครั้งนี้ ใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ซึ่งจะได้รับตอบแทนกลับคืนมาทันที เพราะโรงงานนี้รับจ้างผลิตอิฐมวลเบาอยู่แล้ว เป็นโรงงานที่มีมาตรฐานการผลิตสูง โดย DRT วางแผนที่จะใช้โรงงานดังกล่าวเป็นฐานผลิตอิฐมวลเบาเพื่อจำหน่ายในเขตพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด ซึ่งรายได้จากโรงงานที่ซื้อเข้ามาใหม่นี้ คาดว่าจะทำได้ประมาณ 100 ล้านบาทในปีนี้
ส่วนโรงงานอิฐมวลเบาที่สระบุรีจะเป็นฐานผลิตสินค้าเพื่อป้อนความต้องการสินค้าในเขตภาคกลาง ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการด้านการผลิตและการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำยอดขายและกำไรจากการดำเนินธุรกิจอิฐมวลเบาให้สูงที่สุด
ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายของอิฐมวลเบาจะหนุนให้รายได้รวมของบริษัทในปี 2556 นี้เติบโต 15% จากปีก่อน