TUF คาดผลงาน H2/56 กลับมาปกติ หลังราคาวัตถุดิบ-บาทแนวโน้มดีขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 10, 2013 13:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) กล่าวว่า บริษัทจะสามารถสร้างการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องได้ และยังเชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวัตถุดิบ และค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มดีขึ้นและกลับมาปกติในครึ่งปีหลัง

สำหรับประกอบการไตรมาส 1/56 TUF ยังสามารถรักษายอดขายรูปเงินเหรียญสหรัฐโตได้ ขณะที่ยอดขายรูปเงินบาทลดลง 3% และกำไรสุทธิลดลง 54% เนื่องจากยังต้องเผชิญกับปัจจัยท้าทายเรื่องราคาวัตถุดิบปลาทูน่า และวัตถุดิบกุ้งที่สูงเป็นประวัติการณ์ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว แต่เชื่อว่า แนวโน้มช่วงครึ่งปีหลังจะกลับมาปกติ และเชื่อว่าภาพรวมอุตสาหกรรม รวมทั้งบริษัทเองก็จะสามารถปรับตัวดีขึ้น

"จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัท จากการเป็นผู้ผลิตอาหารทะเลที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ การมีฐานการผลิตและฐานการตลาดที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค ทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจได้เป็นอย่างดี ดังนั้น บริษัทเชื่อมั่นว่า จะสามารถสร้างการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องได้ และยังเชื่อว่าจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวัตถุดิบ และค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มดีขึ้นและกลับมาปกติในครึ่งปีหลัง" นายธีรพงศ์ กล่าว

แม้ว่าภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาสแรก บริษัทยังต้องเผชิญกับปัจจัยท้าทายที่ต่อเนื่องมาจากไตรมาส 4/55 แต่เมื่อพิจารณากำไรสุทธิจะพบว่า ยังเติบโตขึ้น 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 612 ล้านบาท ถือว่าทำได้ดีกว่าไตรมาสที่แล้ว โดยราคาวัตถุดิบในไตรมาสนี้ กุ้งยังมีราคาสูง และขาดแคลน เนื่องมาจากโรคระบาด EMS ขณะที่วัตถุดิบปลาทูน่าความผัวผวนด้านราคายังคงมีต่อเนื่อง จากปีที่แล้วที่สูงถึงระดับ 2,350 เหรียญสหรัฐในเดือนกันยายน และลดลงอย่างรวดเร็วที่ระดับราคา 1,900 เหรียญสหรัฐต่อตันเมื่อ

ช่วงปลายปี แต่ได้มีการปรับขึ้นอีกเมื่อต้นปี และกลับมาสูงอีกครั้งที่ระดับราคา 2,325 เหรียญสหรัฐในเดือนมีนาคม ซึ่งความผันผวนของราคาปลาทูน่า ทำให้ธุรกิจรับจ้างผลิตและส่งออกได้รับผลกระทบ ราคาที่ผันผวนทำให้ลูกค้าไม่มั่นใจเกิดการชะลอคำสั่งซื้อ เนื่องจากไม่สามารถยอมรับราคาที่สูงขึ้น ทำให้มีผลต่ออัตราการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาสแรกนี้ แต่ธุรกิจผลิตเพื่อขายสำหรับแบรนด์ที่อยู่ในต่างประเทศยังดำเนินธุรกิจได้ดี โดยเฉพาะชิกเก้นออฟเดอะซีในสหรัฐอเมริกาสามารถกลับมาทำกำไรอีกครั้ง หลังจากที่ปีก่อนทำผลงานไม่ดี เนื่องจากต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง ขณะที่ธุรกิจอาหารแมวในสหรัฐอเมริกาก็มีผลดำเนินงานดีเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ส่วนทางด้านยุโรปเอ็มดับบลิว แบรนด์ ยังรักษาการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยภาพรวมแล้วธุรกิจในต่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลงที่ดี แต่อย่างไรก็ดีบริษัทเชื่อว่า แนวโน้มราคาวัตถุดิบจะลดความผัวผวนลงในช่วงครึ่งปีหลัง

ส่วนปัจจัยจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น บริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าวด้วยความรัดกุม โดยมาตรการระยะสั้นบริษัทจะใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ เช่น การทำ Hedging การทำ Fix Forward เป็นต้น ทำให้สามารถชดเชยได้บางส่วน สำหรับมาตรการในระยะยาวนั้น ต้องมีการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด รวมถึงการปรับปรุงการดำเนินงานต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ปัจจุบันค่าเงินมีการแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งเพื่อนบ้านพบว่า ประเทศไทยมีค่าเงินที่แข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาคนี้ จึงเป็นเรื่องที่บริษัทต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และต้องมีการประเมินธุรกิจตลอดเวลา และเชื่อว่า ภาครัฐก็ได้มีการติดตามในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว ซึ่งถ้าค่าเงินแข็งอย่างต่อเนื่องคงจะมีมาตรการรองรับออกมาชัดเจนขึ้น

"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ