"คิดว่าปีนี้คงเป้าได้ จากเมื่อต้นปีตั้งเป้าไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท อย่างที่บอกไว้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีมากของ SAMART เราคิดว่าไตรมาสแรกจะเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุด ไตรมาส 2 น่าจะโตกว่าไตรมาสแรก และครึ่งปีหลังก็น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก" นายวัฒน์ชัย กล่าว
ทั้งนี้ เป็นผลจากผลการดำเนินการของบริษัทในกลุ่ม SAMART ที่เติบโตได้ดี โดย บมจ.สามารถ ไอ-โมบาย(SIM) ปรับเป้ารายได้ปี 56 เป็น 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตั้งไว้ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท หลังจากไตรมาสแรกบริษัทสามารถจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์มือถือได้ 9 แสนเครื่อง โดยเป็นเครื่องสมาร์ทโฟนเกือบ 4 แสนเครื่อง ทำให้คาดว่าในปีนี้จะมียอดขายมือถือเพิ่มเป็น 3.6-4.0 ล้านเครื่องจากเดิมคาดว่าจะขายได้ 3.3 ล้านเครื่อง และคาดว่าเครื่องสมาร์ทโฟนปีนี้จะมียอดขาย 70% หรือราว 2.3 ล้านเครื่อง
ดังนั้น ทำให้ราคาขายเฉลี่ยต่อเครื่องจะทยอยสูงขึ้นโดยในไตรมาส 1/56 มีราคาเฉลี่ยต่อเครื่องที่ 2,526 บาท จากไตรมาส 1/55 มีราคาเฉลี่ย 1,100 บาท และคาดว่าในไตรมาส 2/56 จะเพิ่มมาเป็น 2,600 - 2,700 บาท/เครื่อง และในสิ้นปีราคาต่อเครื่องน่าจะสูงถึง 2,900 - 3,000 บาท/เครื่อง
ในช่วงไตรมาส 2 และครี่งปีหลัง SIM มีแผนออกโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่อีกกว่า 20 รุ่น ขณะเดียวกันคาดว่าในเดือนมิ.ย.นี้น่าจะเซ็นสัญญาการทำบริการขายต่อบริการ(MVNO)โครงการ 3จี ทีโอที ในย่านความถี่ 1900 เมกะเฮิรตซ์ของ 3G ให้กับบมจ.ทีโอทีได้ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากันอยู่ ทั้งนี้ ทีโอทีให้ให้กับบริษัท ไอ-โมบาย พลัส จำกัดบริษัทกลุ่ม SAMART เป็นผู้ทำตลาด MVNO จำนวน 2.8 ล้านเลขหมาย
ด้าน บมจ.สามารถ เทเลคอม (SAMTEL) ในปีนี้มีงานที่เข้าร่วมประมูลโครงการต่างๆ รวม 3.3 หมื่นล้านบาท รวมงานโครงการ 3G เฟส 2 ของทีโอที คาดว่าจะได้งาน 70-80% ของงานที่เข้าประมูล ซึ่งขณะนี้มีงานที่ประมูลได้และรอเซ็นสัญญาประมาณ 1 พันล้านบาท จากงานในมือ(Backlog) ที่มีอยู่ 9.5 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1/56 ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ปีนี้ 6 พันล้านบาท
โครงการ 3G เฟสแรกของทีโอที คาดว่าจะติดตั้งได้ครบ 5,270 สถานีฐานในเดือนมิ.ย.-ต้น ก.ค. 56 จากปัจจุบันติดตั้งเสร็จแล้ว 4,500 สถานีฐาน ซึ่งจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/56 เป็นส่วนใหญ่จากงานที่เหลือทั้งหมด 1,700 ล้านบาท และคาดว่าจะมีโครงการ 3G เฟส 2 ที่คาดว่าจะเริ่มได้ในไตรมาส 4/56 แต่หากโครงการ 3G เฟส 2 ต้องล่าช้าออกไปจากปีนี้ ก็อาจทำให้รายได้ของ SAMTEL ปรับลดมาที่ระดับ 1.3-1.4 หมื่นล้านบาท จากที่ตั้งเป้าไว้ 1.6 หมื่นล้านบาท
นายวัฒน์ชัย ยังกล่าวว่า กลุ่ม SAMART สนใจเข้าร่วมประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิตอล ซึ่งเบื้องต้นได้จับมือกับทางสยามกีฬาผลิตช่องกีฬาและข่าว ซึ่งปัจจุบันมีความร่วมมือธุรกิจกันอยู่แล้ว หรืออาจจะตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ โดยระหว่างนี้รอดูประกาศของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) คาดว่าจะใช้งบ 100-200 ล้านบาท ขณะเดียวกันจะผลิต Set Top Box ที่ใช้แปลงสัญญาณไปเป็นระบบทีวีดิจิตอล คาดว่าจะขาย 20-30 ล้านกล่องภายใน 3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด ยังคงมีแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
ส่วนบริษัท วิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ จำกัด มีโครงการในมือ ณ ปัจจุบัน มูลค่ารวม 332 ล้านบาท และยังมีโอกาสเข้าร่วมประมูลโครการติดตั้งกล้องวงจรปิดของกทม. กระทรวงมหาดไทย และ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) มูลค่าอีกกว่า 1,500 ล้านบาท