การปรับลดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินของบริษัทที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เนื่องจากภาวะอุตสาหกรรมที่อ่อนแอ ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีผลประกอบการขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 1,174 ล้านบาทในปี 2555 เมื่อเทียบกับ 2,051 ล้านบาทในปี 2554 บริษัทยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการในการปรับปรุงผลการดำเนินงาน อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง การแข่งขันที่รุนแรงในภูมิภาคเอเชีย และอุปทานส่วนเกินของเรือที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีความสามารถและประสบการณ์ รวมทั้งสถานะผู้นำในตลาดผู้ประกอบการขนส่งทางเรือระดับภูมิภาคอันเนื่องมาจากความได้เปรียบในด้านขนาดและอายุเฉลี่ยของกองเรือ ตลอดจนความถี่ในการให้บริการ
ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนถึงสถานการณ์ทางการตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยอย่างต่อเนื่องซึ่งคาดว่าจะยังคงกดดันความสามารถของบริษัทในการปรับปรุงผลประกอบการและสถานะทางการเงินในระยะใกล้ต่อไป
ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงอีกหากบริษัทยังคงประสบภาวะขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญและประสบปัญหาด้านสภาพคล่องในช่วงไตรมาสข้างหน้านี้ อย่างไรก็ตาม หากบริษัทสามารถปรับปรุงอัตราการทำกำไรและสร้างกระแสเงินสดที่เข้มแข็งเพียงพอที่จะใช้ชำระคืนหนี้ได้ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท
ในปี 2555 ปริมาณการขนส่งสินค้าของ RCL ลดลง 4% จากกลยุทธ์การยกเลิกเส้นทางเดินเรือที่ไม่ทำกำไร โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงส่งผลกระทบต่อปริมาณการขนส่งสินค้าของบริษัท ในปี 2555 อัตราค่าระวางโดยเฉลี่ยของบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 2.3% โดยอยู่ที่ 195 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้สินค้า (Twenty-foot Equivalent Unit - TEU) ซึ่งส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทลดลงเล็กน้อยจาก 13,684 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 13,548 ล้านบาทในปี 2555 อย่างไรก็ตาม อัตราค่าระวางยังคงได้รับแรงกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกินของเรือที่ยิ่งเพิ่มการแข่งขันให้รุนแรงมากขึ้นและรวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบาง ทั้งนี้ ในปี 2555 ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 673 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตันจาก 638 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตันในปี 2554 อย่างไรก็ตาม บริษัทมีค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงลดลงเล็กน้อยจาก 196.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2554 เป็น 184.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2555 เนื่องจากบริษัทลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลง
ในปี 2555 ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากความสำเร็จในการปรับลดต้นทุน อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ที่ปรับปรุงรายการเช่าดำเนินงานแล้วปรับตัวดีขึ้นจาก -2.3% ในปี 2554 เป็น 4.5% ในปี 2555 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยที่ปรับปรุงรายการเช่าดำเนินงานแล้วเพิ่มขึ้นจาก -0.5 เท่าในปี 2554 เป็น 1.5 เท่าในปี 2555 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงรายการเช่าดำเนินงานแล้วปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก -6.0% ในปี 2554 เป็น 3.7% ในปี 2555 ส่วนอัตราส่วนหนี้สินต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงรายการเช่าดำเนินงานแล้วก็ปรับตัวลดลงจาก 45.4% ในปี 2554 เป็น 42.2% ในปี 2555 เนื่องจากการชำระคืนหนี้ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทได้ซื้อเรือจำนวน 2 ลำซึ่งจะรับมอบภายในปี 2556 นี้ โดยบริษัทใช้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินในการซื้อเรือดังกล่าว
สภาพคล่องของบริษัทยังคงตึงตัวเนื่องจากบริษัทมีกำหนดจะชำระเงินกู้ยืมจำนวน 1,680 ล้านบาทภายในปี 2556 นี้ ในขณะที่ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2555 บริษัทมีเงินสดจำนวน 2,101 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทก็จะต้องดำรงเงินสดขั้นต่ำจำนวน 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำรองเอาไว้ตามเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้ ฉะนั้น หากผลประกอบการของบริษัทยังคงฟื้นตัวช้าเช่นเดิมก็อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องได้
จากรายงานของ Alphaliner ปริมาณการบรรทุกสินค้าในช่วงปี 2556-2557 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 3.0 ล้านตู้ หรือคิดเป็น 18% ของปริมาณบรรทุกในปัจจุบัน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยราคาน้ำมันเฉลี่ยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 อยู่ที่ระดับ 620 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตัน ความสามารถในการเพิ่มอัตราค่าระวางของบริษัทยังคงได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวของการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและอำนาจในการต่อรองที่บริษัทมีต่ำกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ ดังนั้น เพื่อสนับสนุนให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้น บริษัทจึงวางแผนในการปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ตลอดจนลดการให้บริการที่ไม่ทำกำไร และขนส่งสินค้าที่ให้กำไรสูง