ขณะเดียวกัน ยังทำให้ DRT มีขีดความสามารถทางการแข่งขันทำตลาดผ่านช่องขายตัวแทนจำหน่ายและห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่มีกว่า 6,000 ราย พร้อมจะนำสินค้าไปวางจำหน่าย รวมถึงกลุ่มลูกค้าโครงการที่สามารถนำเสนอสินค้าที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องการลูกค้ากลุ่มนี้ที่ปัจจุบันมีการขยายงานก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ DRT ยังร่วมกับ แฮดเลย์ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจพัฒนาคานรับหลังคาแบรนด์ตราเพชรที่ช่วยลดระยะเวลาในการติดตั้งโครงหลังคาให้แก่กลุ่มลูกค้าโครงการอีกด้วย
"จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น DRT จึงมั่นใจว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของปีนี้ จะทำยอดขายเติบโตได้อย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน อีกทั้งยังจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานโดยรวมในปีนี้ ที่คาดว่าจะทำรายได้เพิ่มขึ้นตามเป้าที่วางไว้ 10% อย่างแน่นอน"นายสาธิต กล่าว
นายอัศนี ชันทอง กรรมการผู้จัดการ DRT กล่าวถถึงผลประกอบการในไตรมาส 1/56 ว่า บริษัทฯ มีรายได้ 1,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้ 1,051 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 155 ล้านบาท
“ในไตรมาสแรก ผลประกอบการด้านรายได้มีการเติบโตที่ดี แต่ในส่วนของกำไรสุทธิมีอัตราการเพิ่มขึ้นไม่สูงมากนัก (หลังหักกำไรจากการขายที่ดินที่ไม่ได้ใช้งาน) เนื่องจากผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำ และค่าใช้จ่ายโสหุ้ยต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยจากสินค้าภายใต้แบรนด์ตราเพชรที่มีความหลากหลายมากขึ้น และมีกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง เช่น การดึงบัวขาว เป็นพรีเซ็นเตอร์กระเบื้องจตุลอน ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ตอกย้ำความเชื่อมั่นตัวสินค้า ที่โดนใจผู้บริโภค ทำให้สินค้าดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีทั้งตลาดในประเทศและทำยอดขายจากตลาดต่างประเทศที่มีอัตราการเติบโตอย่างโดดเด่นได้มากขึ้น" นายอัศนี กล่าว
นอกจากนี้ ตามที่บริษัทฯ ได้ตั้ง บริษัทไดมอนด์ วัสดุ จำกัด เพื่อเข้าดำเนินการซื้อกิจการโรงงานอิฐมวลเบาที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้มีกำลังการผลิตอิฐมวลเบาเพิ่มขึ้นทันทีอีก 1.5 ล้านตารางเมตรต่อปีนั้น DRT วางแผนที่จะใช้โรงงานดังกล่าวเป็นฐานผลิตอิฐมวลเบาเพื่อจำหน่ายในเขตพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด ซึ่งรายได้จากโรงงานที่ซื้อเข้ามาใหม่นี้ คาดว่าจะทำได้ประมาณ 100 ล้านบาทในปีนี้