ส่วนโครงการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม(Petroleum Production Project หรือ PPP) จ.สุโขทัย ในการผลิตก๊าซธรรมชาติอัด (Compressed natural gas:CNG) นั้น ล่าสุดบริษัทเริ่มทำ commissioning แล้วก่อนเริ่มผลิตในเชิงพาณิชย์ คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 3/56 โดยในปีนี้บริษัทฯจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าว ประมาณ 120 -150 ล้านบาท หรือเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาทต่อไตรมาส และจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาเต็มที่ในปี 57 เฉลี่ยประมาณ 300-350 ล้านบาทต่อปี โครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 20,000 ตันต่อปี แบ่งเป็น CNG 65%, LPG 30% และ NGL 5%
สาเหตุที่บริษัทฯขยายธุรกิจพลังงานทดแทนว่าธุรกิจดังกล่าวยังคงเป็นโอกาสให้กับบริษัทต่อยอดในการขยายรายได้เพิ่มในอนาคต เนื่องจากเชื่อว่า Knowhow และความเชี่ยวชาญของบริษัทสามารถมองหาวัตถุดิบ เพื่อนำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการสนับสนุนของภาครัฐบาลที่เปิดโอกาสให้พลังงานทดแทนเข้ามามีบทบาท ที่จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทฯได้รับอานิสงส์ และสามารถต่อยอดธุรกิจได้ง่ายขึ้น
“หากแผนการขยายการลงทุนสำเร็จ จะส่งผลให้ UAC มีอัตราการเติบโตตาม ตั้งเป้าหมายที่วางไว้ว่า ภายในระยะ 3 ปีข้างหน้าบริษัทฯจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 30% ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทฯในปี 58 แตะ 3,000 ล้านบาท โดยจากการปรับสัดส่วนรายได้ของธุรกิจ จากเดิมที่เน้นหนักไปทางเทรดดิ้ง(ธุรกิจหลัก) มาเป็นรายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทน 60% และอีก 40% จากมาจากธุรกิจหลักเดิม"นายกิตติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงประมาณการอัตราการเติบโตรายได้เพิ่มขึ้น 20-30% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยจะมาจากธุรกิจเทรดดิ้งประมาณ 75% และธุรกิจพลังงาน 25% จากการรับรู้รายได้จากโครงการ PPP ที่ จ.สุโขทัย และโรงงาน CBG ส่วนรายได้จากบริษัทร่วมลงทุนผลิตน้ำประปาเพื่อจำหน่ายแก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ร่วมธุรกิจกับ HYDRO คาดว่าจะเข้ามาในปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท