ปัจจัยหลักที่ทำให้กำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/56 ลดลงมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนขายและบริการเพิ่มขึ้นจำนวน 382.82 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปี 55 ที่มีต้นทุนขายและบริการจำนวน 306.10 ล้านบาท เป็นผลมาจากค่าแรงเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าแรงขั้นต่ำในไตรมาส 1/56 เพิ่มขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน ในขณะที่ไตรมาส 1/55 อยู่ที่ 215 บาทต่อวัน นอกจากนี้บริษัทฯมีค่าเสื่อมเพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตรวมทั้งค่าใช้จ่าย ในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายในการนำเข้าและส่งออก
“ถ้าเทียบกับไตรมาส 4/55 กำไรในไตรมาส 1/56 กำไรยังเติบโตกว่าร้อยละ 55 แต่หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนผลประกอบการไม่ค่อยดีนักเพราะว่าต้นทุนหลัก ๆ ของเราเพิ่มโดยเฉพาะค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ขณะที่ไตรมาส 1 ปีที่แล้วอยู่ที่ 215 บาทต่อวัน และหลักใหญ่สำคัญอีกประเด็นคือค่าเสื่อมราคาจากเครื่องจักรใหม่กระทบต่อกำไรสุทธิบริษัทฯ แต่เชื่อว่าไตรมาสต่อจากนี้ไปผลการดำเนินงานน่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เพราะฐานของค่าแรงขั้นต่ำอยู่ในระดับเดียวกัน" นายองอาจ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทคงประมาณการรายได้ทั้งปี 56 ของบริษัทคาดว่าเติบโต 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,916.26 ล้านบาท กำไรสุทธิ 250.13 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการผลิตเบาะหนังรถยนต์ที่มีโมเดลใหม่จากค่ายรถยนต์ อาทิ โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน มาสด้า รวมทั้งหนังเฟอร์นิเจอร์ และหนังรองเท้า