บริษัทมีความมั่นใจที่จะขยายพื้นที่เช่ากว่า 500,000 ตารางเมตร ซึ่งเดิมตั้งเป้าหมายไว้ 2.5-3 แสนตารางเมตรในปี 56 เนื่องจากความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการได้ใช้อาคารที่มีคุณภาพสูงของบริษัทฯ ทำให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น ต้นทุนต่ำลงอย่างชัดเจน ตลอดจนบริษัทฯ มุ่งเน้นบริเวณพื้นที่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านขนส่งด้านโลจิสติกส์ ที่สามารถตอบสนองความต้องการทางคมนาคม เพื่อขนส่งไปยังศูนย์กระจายสินค้าย่อยตามหัวเมืองใหญ่ทั่วภูมิภาค ซึ่งถือเป็นการช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งให้กับลูกค้า และจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถขยายพื้นที่คลังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้า ตามฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นทั้งจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่จำนวนมาก
ส่วนแผนการขยายการลงทุนในไตรมาส 2/56 ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างแผนการศึกษาในการเข้าเจรจาซื้อที่ดิน แถบบริเวณพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาค อาทิ ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ บนพื้นที่รวมกว่า 200 ไร่ เพื่อพัฒนาพื้นที่ให้เช่า โดยยังคงเน้นบริเวณพื้นที่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านขนส่งและโลจิสติกส์ ที่จะครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายในไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3/56 นี้
“ก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ซื้อที่ดินเพิ่มในเขตกรุงเทพ-แหลมฉบังบนพื้นที่รวมกว่า 700 ไร่ก็จะส่งผลให้ภายในปีนี้ บริษัทจะมีที่ดินเพียงพอที่จะขยายงานในอนาคตอีก 2 ปีข้างหน้าได้อย่างมั่นคงตรงตามความต้องการของลูกค้าที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต"นายแพทย์สมยศ กล่าว
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 1/56 กำไรสุทธิที่สะท้อนถึงกำไรที่แท้จริงจากการขาย คลังยา (Health care) อยู่ที่ 565.91 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของงวดปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 240.58% ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 2,164.49 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอชี้แจงว่า หากพิจารณางบการเงินรวมของบริษัทฯ กำไรสุทธิที่รายงานอยู่ที่ 122 ล้านบาท แต่เป็นกำไรสุทธิที่มิได้สะท้อนให้เห็นถึงกำไรจากการขายทรัพย์สินเข้ากองทุน WHAPF เนื่องจากบริษัทฯ เคยปรับโครงสร้างการถือหุ้นก่อนการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตามมาตรฐานบัญชีจะต้องบันทึกกำไรจากซื้อกิจการ ซึ่งเสมือนเป็นกำไรจากการตีมูลค่าทรัพย์สินคลังยา(Health Care) ดังกล่าวให้เป็นมูลค่ายุติธรรม ดังนั้นตามตัวเลขทางบัญชีจึงเสมือนมีการรับรู้กำไรในส่วนนี้ในงบรวมไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบทางบัญชี แต่ไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด (Cash flow) ซึ่งบริษัทฯ สามารถนำกระแสเงินสดที่ได้จากกำไรจากการขายทรัพย์สินที่แท้จริงจำนวนกว่า 600 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และส่วนหนึ่งจะสำรองสำหรับการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอีกด้วย