อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ยกเลิกแผนการแยกธุรกิจ ไนน์ เอ็นเตอร์เทน ออกมาจัดตั้งเป็นบริษัทย่อย เนื่องจากติดขัดปัญหาความพร้อมด้านบุคลากร
นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ MCOT เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้ในไตรมาส 2/56 จะดีกว่ารายได้ในไตรมาส 1/56 ที มีรายได้ เนื่องจากการปรับค่าโฆษณาเพิ่มขึ้น 5% โดยมีผลในเดือน มี.ค.56
อีกทั้งในไตรมาส 2/56 จะมีสัดส่วนการจองช่วงเวลาโฆษณาเพิ่มมากขึ้นกว่าไตรมาส 1/56 โดยสัดส่วนช่วงPrimetime จะมีสัดส่วนมากกว่า 100% เพิ่มจากไตรมาสก่อนที่มีสัดส่วน 90% และ Non-Primetime จะมีสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 50% จากไตรมาสก่อนที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 40% ส่งผลให้รายได้ในไตรมาส 2/56 ดีกว่าไตรมาส 1/56
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถทำรายได้ทั้งปีได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้ที่ 6.5 พันล้านบาท
ส่วนแผนการตั้งไนน์เอ็นเตอร์เทนท์เป็นบริษัทย่อยนั้น บริษัทได้พักแผนการจัดตั้งไว้ก่อน เนื่องจากติดขัดทางด้านบุคคลากร แต่บริษัทจะให้ไนน์เอ็นเตอร์เทนท์หน่วยธุรกิจของบริษัทเข้ามาดูแลรายการวาไรตี้ของบริษัท
สำหรับแผนการประมูลทีวีดิจิตอลบริษัทยังคงต้องการประมูล 3 ช่อง ได้แก่ ช่อง HD วาไรตี้ช่องรายการเด็กและเยาวชน และช่องรายการข่าว ทั้งนี้บริษัทต้องการช่อง HD ทั้งหมด 3 ช่องรายการ คาดว่าจะมีการแข่งขันและราคาสูง ทำให้ต้องใช้เงินลงทุนมาก แต่บริษัทจะมีการหาพันธมิตรมาร่วมประมูลเพื่อทำใช้เงินลงทุนไม่มาก และคาดว่าจะใช้กระแสเงินสดของบริษัทที่มีอยู่ 4.85 พันล้านบาท ซึ่งมีความเพียงพอสำหรับการใช้ประมูลทีวีดิจิตอล
นอกจากนี้แผนโครงการ MCOT CITY ที่บริษัทจะนำที่ดิน 50 ไร่บนถนนวัฒนธรรมนำไปพัฒนา คาดว่าจะมีความชัดเจนรูปแบบโครงการภายในปีนี้ ขนะนี้ที่ประชุมคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)เห็นชอบในการพัฒนาพื้นที่ร่วมกันแล้ว โดมียอายุสัญญา 30 ปี และสามารถต่อเพิ่มได้เป็น 60 ปี คาดว่าโครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 60