ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีงานที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai) 3 ราย จาก 6 รายในมือ
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ CGS กล่าวถึงแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2 ว่า คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร จากปริมาณการซื้อขายในปี 56 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท/วัน ซึ่งจะทำให้รายได้ในส่วนนายหน้าซื้อขายหุ้นเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ขณะเดียวกันมองว่ จะส่งผลให้ในปี 56 จะมีกำไรสุทธิเติบโตมากขึ้นจากปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นหากไตรมาส 2/56 มีผลประกอบการออกมาดี ก่อนหน้านี้ บริษัทได้มีการจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นต่อเนื่องมา 3 ปี ปีล่าสุดจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญในอัตรา 9 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ และเงินสดอัตรา 0.012 บาท นับว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีของนักลงทุน
"แนวโน้มผลประกอบการในปี 2556 เชื่อว่าปีนี้ยังคงเป็นปีทองของธุรกิจหลักทรัพย์และมีการขยายตัวที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้วางเป้าหมายที่จะครองส่วนแบ่งทางการตลาดให้อยู่ในอันดับ Top 3 โดยยังคงให้ความสำคัญกับงานด้านการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ขณะเดียวกันบริษัทยังมุ่งเน้นในเรื่องของการให้บริการลูกค้าทั้งในด้านของงานวิจัยหลักทรัพย์และพัฒนางานด้านระบบไอทีให้มีความรวดเร็วและทันสมัยควบคู่ไปกับเสนอข้อมูลที่ครอบคลุมและค้นหาง่าย"นายประสิทธิ์ กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทมีกำไรจากพอร์ตการลงทุนในไตรมาส 1/56 ถึง 80% จากเป้าหมายที่คาดว่าจะมีกำไรได้ 100% ในปี 56 แต่อย่างไรก็ตาม บริษัท ยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มพอร์ตการลงทุน โดยจะยังคงพอร์ตการลงทุนไว้ที่ 125 ล้านบาท
ส่วนที่ได้ขออนุมัติออกหุ้นกู้วงเงิน 1 พันล้านบาทจากผู้ถือหุ้น เป็นการขอไว้เพื่อรองรับการการลงทุนเพื่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินกู้จำนวนนี้ เนื่องจากยังมีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ
สำหรับในปีนี้บริษัทตั้งเป้าดัชนี SET ไว้ที่ 1,650 จุด อย่างไรก็ตาม หากสามารถทะลุ 1,650 จุดไปได้ มองว่าจะยังสามารถปรับตัวขึ้นไปได้ต่อ โดยปัจจัยสำคัญ คือ บริษัทจดทะเบียนในตลาดยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาซื้อขายเพื่อทำกำไรมากขึ้น
ในส่วนของกฎเกณฑ์ใหม่ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ขยายเวลา Cash Balance เป็น 60 วันจากเดิม 30 และเพิ่มวงเงินประกันในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์จาก 15% เป็น 20% นั้น มองว่าป็นเรื่องที่ดี ทำให้ บล.สามารถลดความเสี่ยงได้จากเงินประกันที่เพิ่มขึ้นและจะส่งผลให้นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น
ปัจจุบัน บล.คันทรี่ กรุ๊ป มีสาขาให้บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศรวมสำนักงานใหญ่ จำนวน 51 สาขา มีมาร์เก็ตติ้งมากกว่า 600 คน และมีลูกค้ารายย่อยมากถึง 60,000 ราย สำหรับปี 56 มีเป้าหมายจะขยายฐานลูกค้าเพิ่มอีก 20%