(เพิ่มเติม) MINTคาดรายได้-กำไรปี 56 ทำนิวไฮได้อีกครั้งจากธุรกิจโรงแรม-อาหารเติบโต

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 16, 2013 17:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ และนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT)คาดว่า รายได้และกำไรสุทธิในปี 56 จะสามารถทำสถิติสูงสุดได้อีกหลังจากปีก่อนที่ทำสถิติสูงสุด เนื่องจากทั้งธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอาหารเติบโตต่อเนื่อง
"ไตรมาส 2 และไตรมาส 3 จะแรงไม่เท่าไตรมาส 1 และไตรมาส 4 แต่ถ้าเทียบเป็น yoy น่าจะมี growth ทุกไตรมาส และก็ไม่น่าแปลกใจที่ปีนี้จะทำนิวไฮอีก"นายชัยพัฒน์ กล่าว

ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 50% ธุรกิจอาหารมีสัดส่วน 40% และจากธุรกิจอื่น 10% ซึ่งคาดว่าในช่วง 3-5 ปีนี้ สัดส่วนรายได้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะทุกธุรกิจของบริษัทเติบโต

ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิ(net debt)ต่อทุนได้ปรับลงมาที่ 0.72 เท่าในสิ้นไตรมาส 1/56 จากสิ้นปี 55 อยู่ที่ 1.06 เท่า เนื่องจากอัตรากำไรสุทธิของทุกธุรกิจดีขึ้น และได้เงินจากการแปลงสภาพวอแรนท์ จำนวนเกือบ 4 พันล้านบาท ทำให้บริษัทมั่นใจว่าไม่ต้องเพิ่มทุนในช่วง 5 ปีนี้ โดยเงินลงทุนจะใช้กระแสเงินสดจากภายในบริษัท แต่หากไม่พอก็ยังสามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินเพิ่มได้ ส่วนการออกหุ้นกู้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะระดมทุน แต่จะดูจังหวะและดูโอกาส รวมถึงอัตราดอกเบี้ยด้วย

ธุรกิจอาหารคาดจะมียอดขายเติบโต 12-15% โดยการเติบโตจากร้านเดิมอยู่ที่ 5-6% และจากการขยายสาขาใหม่เติบโต 8-10% ได้รับปัจจัยจากการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังไม่รวมการเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการใหม่เพิ่มเติม นอกจากนี้ ธุรกิจร้านอาหารในจีน ในปีนี้คาดว่าจะโอกาสพลิกมีกำไรจากปีก่อนขาดทุน 21 ล้านหยวน โดยในไตรมาส 1/56 เริ่มเห็นจุดคุ้มทุนจากมีกำไรจากการดำเนินงาน หลังจากที่บริษัทได้เข้าซื้อกิจการร้าน"RIVERSIDE" และคาดว่าจีนยังมีโอกาสเติบโตอีกมากทั้งจากประชากรจำนวนมาก และพื้นที่ขยายร้านอาหาร รวมทั้งการขยายแบรนด์ใหม่เข้าไปในจีน ได้แก่ Thaiexpress, Coffee club เป็นต้น

ส่วนธุรกิจโรงแรมได้ปัจจัยหนุนจากธุรกิจท่องเที่ยวไทยปีนี้ดีมาก ในส่วนบริษัทคาดว่ารายได้ต่อห้องพักในปีนี้จะเพิ่มมากกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ยที่ 3,977 บาท และ อัตราเข้าพักเฉลี่ยปีนี้โต 3-4% จากปีก่อนอยู่ที่ 66% โดยในไตรมาส 1/56 รายได้ต่อห้องพักปรับขั้นไปที่ 5,692 บาท เทียบจากไตรมาส 1/55 อยู่ที่ 4,776 บาท ทั้งนี้รายได้หลักของธุรกิจโรงแรมจะมาจากโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของซึ่งใช้แบรนด์"อนันตรา"และ"อาวานี่"

ทั้งนี้ ในปี 56 มีโรงแรมที่เป็นเจ้าของเองเพิ่มขึ้น 3 แห่งอยู่ในภูเก็ต 1 แห่งและเวียดนาม 2 แห่งที่เมืองฮอยอันและกี่ง่อน จากปีก่อนมีจำนวน 15 แห่ง ส่วนโรงแรมที่เข้าร่วมทุนเพิ่มขึ้น 2 แห่งจากปีก่อนมี 13 แห่ง โรงแรมที่ร้บจ้างบริหารเพิ่มขึ้น 5 แห่ง จากปีก่อน 15 แห่ง และ สิทธิในการเข้าบริหารจัดการห้องพักภายใต้แบรนด์โอ๊คส์เพิ่มอีก 4 แห่งจาก 39 แห่งในปีก่อน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ