ส่วนรายได้ในปี 56 มั่นใจจะเติบโต 15% จากปีก่อน ถึงแม้ไตรมาส 1/56 รายได้เติบโต 11% แต่คาดรายได้จะเติบโตมากในไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4/56 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น
"ปี 56 ผลการดำเนินงานของเราเติบโต เพราะโตทั้งอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้น และราคาเฉลี่ยต่อห้องพักที่เพิ่มขึ้น"นายไกรลักขณ์ กล่าว
ขณะที่รายได้ในไตรมาส 2/56 โตเพียง 5% จากงวดเดียวกันปีก่อน เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นทำให้ราคาเฉลี่ยห้องพักจะต่ำกว่าไตรมาส 1/56 แต่ก็สูงกว่าไตรมาส 2/55 และนักท่องเที่ยวในและต่างประเทศเข้ามาพักมากขึ้น ทำให้รายได้ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่ไตรมาส 2 นี้จะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน ERWPF ก็จะทำให้มีกำไรเติบโต
ส่วนงบลงทุนรวม 3 ปี(ปี 56-58) อยู่ที่ 6,500 ล้านบาท แบ่งเป็น ในปี 56 ใช้งบ 2,500 ล้านบาท ปี 57 ใช้งบ 2,000 ล้านบาท และในปี 58 ใช้งบ 2,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้สำหรับสร้างโรงแรมใหม่ ซึ่งจะทำให้ในปี 58 บริษัทจะมีโรงแรมของตัวเองมากกว่า 20 แห่งในประเทศ จากปัจจุบันอยู่ที่ 16 แห่งในประเทศ โดยแหล่งเงินมาจากเงินสดบริษัท และ กู้เงินจากสถาบันการเงิน พร้อมยืนยันไมมีการเพิ่มทุน
อีกทั้ง จากการที่บริษัทขายสินทรัพย์เข้ากองทุน ERWPF ทำให้บริษัทมีเงินสดเพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท ใช้เป็นงบลงทุนเพิ่มเป็น 8,500 ล้านบาท โดยเงินจำนวนนี้ ไว้ใช้รองรับการเข้าซื้อกิจการไหรือซื้อเข้าลงทุนได้ทันที ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทมีไม่เกิน 2 เท่า
นายไกรลักขณ์ กล่าวว่า บริษัทกำลังพิจารณาสินทรัพย์หรือโรงแรมที่จะนำมาขายเข้ากองทุน ERWPF อีก คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้และมีแผนจะเสนอขายในปี 57
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของบริษัทหลักๆมาจากโรงแรม 5 ดาว 65% และโรงแรมต่ำกว่า 5 ดาว มีสัดส่วน 35% แต่คาดว่าใน 1-2 ปีข้างหน้าจะขยายสัดส่วนเพิ่มเป็น 50% เท่ากันกับโรงแรม 5 ดาว ซึ่งในปีนี้ โรงแรมต่ำกว่า 5 ดาว อยู่ระหว่างสร้างโรงแรมใหม่มากกว่า 2 แห่ง ได้แก่ โรมแรมฮอลิเดย์อินน์ พัทยา คาดสร้างเสร็จในไตรมาส 3/57 และ โรงแรม เมอร์เคียวพัทยา คาดสร้างเสร็จไตรมาส 4/57 ทั้ง 2 แห่งใช้งบลงทุนเกือบ 2 พันล้านบาท และปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับปรุงโรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ ใช้งบ 700 ล้านบาท คาดเสร็จปลายไตรมาส3/56