“ในกรณีที่ ดร.ประสิทธิ์ มีโอกาสก้าวหน้าไปเป็นเถ้าแก่ โดยจะถือหุ้นบางส่วนใน บล.สินเอเซีย นั้น ผมก็รู้สึกยินดีด้วยและคงไม่มีอะไรที่ทำให้ขัดแย้งกัน ส่วนการตัดสินใจออกในอนาตคของ ดร.ประสิทธิ์ นั้น อาจจะมีผลกระทบต่อบริษัทฯ บ้าง แต่คงไม่เป็นสาระสำคัญเพราะในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมา CGS ได้สร้างฐานลูกค้าเดิมของบริษัทฯไว้ ประมาณ 60,000 รายไว้ตามสาขาต่างๆประมาณ 50 สาขา และมีทีมผู้บริหารเดิมที่มีความสามารถและประสบการณ์ที่จะ ควบคุม ดูแล สาขาต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ รวมทั้งยังมีทีมการตลาดใหม่ที่มีฐานลูกค้ามากมาเสริมทีมเดิมอีกด้วย ดังนั้นบริษัทฯจะไม่ได้รับผลกระทบมาก นอกจากนั้น บริษัทฯได้พัฒนาโครงสร้างการบริหารงานของบริษัทฯ โดยเน้นการทำงานเป็นทีมและมีระบบงานที่อยู่ตัวแล้ว ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถเดินได้ด้วยตัวมันเองอย่างยั่งยืนได้"นายสดาวุธ กล่าว
นายสดาวุธ กล่าวเสริมว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร การย้ายงานจากโบรกหนึ่งไปอีกโบรกหนึ่ง ถือเป็นเรื่องปกติของธุรกิจหลักทรัพย์ ดังนั้น การที่จะมีการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารจึงไม่นับเป็นเรื่องแปลกซึ่งบริษัทฯก็ได้เตรียมทีมงานและระบบงานเพื่อรองรับการการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปี 56 คาดว่า CGS ยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง เห็นได้จากไตรมาส 1/56 มีกำไรสุทธิ 263.32 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับร้อยละ 84 ของกำไรสุทธิทั้งปีในปีที่แล้ว หรือ เพิ่มขึ้น 194.73 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 284 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 68.59 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มี.ค.56 บริษัทมีกำไรสะสมจำนวน 868.34 ล้านบาท พร้อมได้มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องมา 3 ปีซ้อน
อีกทั้ง ปีนี้ยังคงเป็นปีทองของธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีการขยายตัวที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้วางเป้าหมายที่จะครองส่วนแบ่งทางการตลาดให้อยู่ในอันดับ Top 3 โดยยังคงให้ความสำคัญกับงานด้านการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การมีบริการด้านหลักทรัพย์ที่ครบวงจร ขณะเดียวกันบริษัทยังมุ่งเน้นในเรื่องของการให้บริการลูกค้าทั้งในด้านของงานวิจัยหลักทรัพย์ และการพัฒนางานด้านระบบไอทีให้มีความรวดเร็วและทันสมัย