พร้อมตั้งงบลงทุนปีนี้เพิ่มเป็น 1.8-1.9 พันล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ที่ 1.2 พันล้านบาท ขณะเดียวกันคาดว่าจะสรุปการเข้าซื้อแบรนด์อาหารได้เพิ่มอีก 1 ราย ภายในไตรมาส 3/56
"คาดว่ากำไรปี 56 จะสูงกว่าปี 55 และทำสถิติสูงสุด ตามรายได้รวมที่โตขึ้น ที่ตั้งเป้ารายได้เติบโต 16-17% มาที่ 1.7 หมื่นล้านบาทจาก 1.4 หมื่นล้านบาท กำไรโตทิศทางเดียวกัน ส่วนหนึ่งก็ได้รับประโยชน์เรื่องภาษีด้วย" นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายการเงินและบริหาร CENTEL กล่าว
ในปีนี้คาดว่า สัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารอยู่ที่ 55% ธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 45%
ส่วนแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 2/56 เติบโตต่อเนื่องจากอัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 80% ในเดือนเม.ย.56 จาก 64-65% ในเม.ย.55 รวมทั้งนักท่องเที่ยวในจีนเข้ามาจำนวนมาก ขณะที่ธุรกิจอาหารยังเติบโตต่อเนื่อง
"แนวโน้มนักท่องเที่ยวในปีนี้ดีต่อเนื่อง และ GDP ของไทยก็ยังเป็นบวก กำลังซื้อของคนต่างจังหวัดก็เพิ่มขึ้นหลังปรับขึ้นค่าแรง ก็มั่นใจว่ารายได้รวมโตตามเป้า และสะท้อนไปที่ผลการดำเนินงานของบริษัท" นายรณชิต กล่าว
สำหรับงบลงทุนปีนี้ เดิมบริษัทตั้งงบลงทุนไว้ 1.2 พันล้านบาท แต่จะเพิ่มเป็นจำนวน 1.8-1.9 พันล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 1/56 บริษัทได้ใช้เงินไปในการซื้อบริษัท โรงแรม กะรน ภูเก็ต จำกัด เพิ่ม โดยซื้อเพิ่มจากเลห์แมน ทำให้บริษัทถือหุ้นเป็น 99% จาก เดิมถือ 84% โดยใช้เงิน 120 ล้านบาท ส่วนที่เหลือบริษัทจะนำเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดให้บริการโรงแมรมมัลดีฟส์ แห่งที่ 2 ในปลายมี.ค.นี้ โดยมีค่าใช้จ่าย 485 ล้านบาท ทำให้งบลงทุนปีนี้เพิ่มเข้ามา
นอกจากนี้ งบลงทุนจะใช้ในการปรับปรุงโรงแรม 600 ล้านบาท และอีก 600 ล้านบาท ใช้ในธุรกิจอาหาร ซึ่งปลายไตรมาส 3/56 คาดจะเพิ่มแบรนด์อาหารได้อีก 1 แบรนด์ จากที่เจรจาอยู่ 2 แบรนด์ จะเปิดเป็นเฟรนไชส์ อย่างไรก็ตาม คาดว่าอาจจะเข้าซื้อแบรนด์อาหารเพิ่มอีก 1 แบรนด์
ส่วนเหตุการณ์ไฟฟาดับทั้ง 14 จังหวัดทางภาคใต้ นายรณชิต กล่าววา บริษัทไม่ได้รับผลกระทบเพราะบริษัทมีการติดตั้งไฟสำรอง และช่วงเวลา 1 - 3 ทุ่มที่ไฟฟ้าดับ เป็นช่วงที่แขกอยู่ในห้องอาหาร ซึ่งก็มีการตรวจสอบ โดยที่ผ่านมา อัตราการพักโรงแรมที่ภูเก็ตยังสูงต่อเนื่อง
นอกจากนี้บริษัทคาดว่า ปีนี้รับจ้างบริหารโรงแรมเพิ่มอีก 12 แห่ง โดยสิ้นปี 56 บริษัทจะมีโรงแรมที่เป็นของตัวเอง และรับจ้างบริหาร รวมทั้งหมด 47 แห่ง อยู่ในไทย 35 แห่ง ต่างประเทศ 12 แห่ง เทียบกับปีก่อนมี 34 แห่ง