ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงหลัง PMI ภาคการผลิตจีนหดตัว,วิตกเฟดชะลอซื้อบอนด์

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 23, 2013 22:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงหลังจากตลาดเปิดทำการได้เพียงไม่นาน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการหดตัวของภาคการผลิตจีน และการที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาว่าเฟดอาจจะชะลอโครงการซื้อพันธบัตร

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 21.38 น.ตามเวลาไทยในวันนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 44.39 จุด หรือ 0.29% แตะที่ 15,262.78 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 15.66 จุด หรือ 0.95% แตะที่ 1,639.69 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 39.47 จุด หรือ 1.14% แตะที่ 3,423.83 จุด

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลงหลังจากเอชเอสบีซี โฮลดิงส์เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ค.ของจีน ร่วงลงแตะระดับ 49.6 นับเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนที่ดัชนีร่วงลงต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตหดตัวลง ซึ่งการชะลอตัวลงของอุปสงค์ทั้งภายในและต่างประเทศเป็นสาเหตุหลักที่ฉุดดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของจีนให้หดตัวลง พร้อมทั้งระบุว่า เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะอยู่ในภาวะขาลงในไตรมาส 2 ปีนี้

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสในช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า การลดขนาดโครงการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (QE) นั้น อาจจะมีขึ้นในการประชุมในอีกไม่กี่ครั้งข้างหน้า ซึ่งจะขึ้นอยู่กับข้อมูลด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภค การใช้จ่ายของภาคเอกชน และข้อมูลด้านการจ้างงานของสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงในกรอบที่จำกัด เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่ระบุว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นุดวันที่ 18 พ.ค. ร่วงลง 23,000 ราย สู่ระดับ 340,000 ราย ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 345,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 360,000 ราย

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนเม.ย. พุ่งขึ้น 2.3% สู่ระดับ 454,000 ยูนิตต่อปี มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 425,000 ยูนิตต่อปี ขณะที่ราคากลางของบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 271,600 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ที่กระทรวงพาณิชย์เริ่มรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960

หุ้นราล์ฟ ลอร์เรน ร่วงลง 5.37 ดอลลาร์ หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยเกินคาด ขณะที่หุ้นฮิวเล็ตต์-แพคการ์ด พุ่งขึ้น 14% หลังจากบริษัทคาดว่าผลประกอบการในรอบ 3 เดือนที่สิ้นสุด ณ เดือนก.ค. จะอยู่ที่ 84-87 เซนต์ มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 83 เซนต์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ