ทั้งนี้ บริษัทต้องการดูโมเดลการก่อสร้างโรงงานที่ จ.ขอนแก่นก่อนจะตัดสินใจลงทุนสายการผลิตใหม่ NT-11 ใน จ.สระบุรี อีกทั้งบริษัทต้องการรักษารอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.6 เท่า และมีนโยบายว่าการลงทุนจะต้องไม่กระทบกับการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสเข้าซื้อกิจการหรือตั้งโรงงานผลิตแห่งใหม่ในพื้นที่ภาคใต้ เพราะต้องการขยายฐานการตลาด โดยปัจจุบันบริษัทมีที่ดินเปล่ากว่า 20 ไร่ในจ.สุราษฏร์ธานี ก็อาจเข้าไปลงทุนติดตั้งเครื่องจักร หรืออาจจะเข้าซื้อกิจการที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ภาคใต้ เพราะวิธีการนี้จะช่วยรับรู้รายได้ทันที และประหยัดค่าขนส่ง ทั้งนี้ บริษัทได้กำหนดการขยายฐานการผลิตในภาคใต้ไว้ในแผน 5 ปีข้างหน้า
ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตรวม 9 แสน ตร.ม.ต่อปี ซึ่งจะทำให้ยอดขายเติบโตปีละ 10-15% ในช่วงปี 56-57 รวมทั้งบริษัทจะหันไปเน้นการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้น
ส่วนกิจการโรงงานอิฐมวลเบาใน จ.เชียงใหม่ที่บริษัทเข้าซื้อกิจการไปก่อนหน้านี้ คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย.56 โดยคาดว่าในปีนี้จะรับรู้ยอดขายอิฐมวลเบา 200-300 ล้านบาท แต่ปี 57 จะรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปี 500-700 ล้านบาท และจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของบริษัทได้ในปีถัดๆ ไป