ทั้งนี้ บริษัทได้รับผลบวกจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่ขยายตัวทำให้บริษัทฯได้รับออเดอร์เพิ่มขึ้นจากผู้ประกอบรถยนต์ เช่น ฮอนด้า โตโยต้ามิตซูบิชิ เป็นต้น ขณะที่ออเดอร์จากต่างประเทศ ที่เวียดนาม และอินเดียก็มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
นายนรากร มั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมาย โดยตั้งเป้าที่ประมาณ 400 ล้านบาท หรือขยายตัวไม่ต่ำกว่า 30% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 306.3 ล้านบาท
พร้อมวางเป้าหมายธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 58 จะเป็นบริษัทฯที่มียอดขายติดอันดับ 1 ใน 10 ของอาเซียน จากปัจจุบันอยู่ 1 ใน 5 ของประเทศไทย และคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 30% จากปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 10% โดยปีหน้าบริษัทเตรียมเปิดสาขาที่อินโดนีเซีย อินเดีย และเวียดนาม หลังจากในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาได้เปิดสาขาที่จังหวัดฉะเชิงเทราเพื่อเตรียมความพร้อมและปูทางก่อนบุกต่างประเทศ
“อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้น่าจะเติบโตจากปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่29% โดยในไตรมาส 1/2556 ที่ผ่านมามีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 36% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการด้านต้นทุนได้อย่างดีเยี่ยมและเราก็ได้ลงทุนปรับปรุงระบบซอฟต์แวร์เพื่อเสริมศักยภาพด้านการออกแบบ ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตของบริษัทดีขึ้นโดยที่ไม่ได้เพิ่มจำนวนคน เราจึงสามารถลดต้นทุนในการบริหารงานได้มากขึ้น"นายนรากร กล่าว