"การลดสัดส่วนการถือหุ้นใน F&N ที่เราถือเกิน 90% เราก็มีการพิจารณาการลดสัดส่วนการถือหุ้นตามระเบียบของตลาดหุ้นสิงคโปร์ แต่ว่ารายละเอียดว่าเราจะมีแนวทางการลดสัดส่วนอย่างไรนั้นยังไม่มีความชัดเจนในตอนนี้ ซึ่งเราก็จะพยายามรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นทุกฝ่าย อย่างไรก็ตามการที่เราเข้าไปถือหุ้นใน F&N เพื่อเป็นการช่วยส่งเสริมในการบริหารงานและการขยายตลาดเครื่องดื่มในภูมิภาคอาเซียนให้มีความเชื่อมโยงกัน เพื่อเสริมความมั่นคงในระยะยาวให้แก่บริษัท"นายฐาปน กล่าว
ขณะที่แผนการนำเครื่องดื่มชาเขียว OISHI ขยายตลาดในอาเซียน ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน ซึ่งขณะนี้บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างการบริหารใหม่ เพื่อประสิทธิภาพของการบริหารงาน ส่วนธุรกิจร้านอาหารในเครือ OISHI มองว่ายังมีโอกาสขยายไปในอาเซียนเช่นกัน เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสในการขยายสาขา แต่ธุรกิจร้านอาหารในเครือ OISHI ยังเป็นธุรกิจที่มีขนาดเล็กอยู่ ทำให้อาจจะยังไม่ใช่โอกาสในการขยายสาขาไปในภูมิภาคอาเซียนในตอนนี้
นายฐาปน กล่าวว่า แนวโน้มของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังมีความท้าทาย เนื่องจากเศรษฐกิจของโลกมีความเชื่อมโยงกับภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น อีกทั้งในประเทศไทยภาครัฐฯมีการกระตุ้นการบริโภคการใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีการเติบโตอย่างมาก ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัททำให้มีการเติบโตได้อย่างดีในประเทศ
"แนวโน้มช่วงครึ่งปีหลังมีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มมีความเชื่อมโยงกับภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยเศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างมาก รัฐบาลมีการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ มีเมกะโปรเจ็คต์ต่างๆ ทำให้ภาครัฐมีความคึกคักมากกว่าเอกชน แต่บริษัทก็ไม่ได้หยุดนิ่งแค่ในประเทศมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณืแขยายธุรกิจออกไปในต่างประเทศ เพื่อสร้างความเติบโตให้กับบริษัท"นายฐาปน กล่าว