ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 106.59 จุด หรือ 0.69% ปิดที่ 15,302.80 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 11.70 จุด หรือ 0.70% ปิดที่ 1,648.36 จุด และดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 21.37 จุด หรือ 0.61% ปิดที่ 3,467.52 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลว่า เฟดอาจจะชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หรือโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาล หลังจากที่หลักฐานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว โดยดัชนีราคาบ้านในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 10.9% จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบเป็นรายปีนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2549 หรือในรอบ 7 ปี ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด พุ่งสู่ระดับ 76.2 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2551
เมื่อไม่นานมานี้ นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดได้ส่งสัญญาณในระหว่างการแถลงต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสว่า การลดขนาดโครงการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (QE) นั้น อาจจะมีขึ้นในการประชุมในอีกไม่กี่ครั้งข้างหน้า ซึ่งจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจด้านต่างๆ รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคและข้อมูลด้านการจ้างงานของสหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจาก OECD ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกในปี 2556 ลงสู่ระดับ 3.1% จากระดับ 3.4% และยังได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2557 ลงสู่ระดับ 4% จากระดับ 4.2%
ขณะเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปีนี้ ลงสู่ระดับ 7.75% จากระดับ 8% อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั่วโลก
นักลงทุนจับตาดูทางการสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงประจำไตรมาส 1/2556 ในวันนี้เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขจีดีพีจะขยายตัว 2.5% ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการครั้งแรก นอกจากนี้ สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขดังกล่วอาจจะทรงตัวอยู่ที่ 340,000 ราย
หุ้นแมคโดนัลด์ ร่วงลง 2.2% หุ้นพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ดิ่งลง 2.4% ขณะที่หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ร่วงลง 2.2%