นอกจากนั้น ที่ประชุมยังได้อนุมัติให้สัมปทานบริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จำกัด (TARCO) (บริษัทย่อยของ บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS))เป็นผู้ให้บริการระบบส่งน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานผ่านท่อภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ซึ่งเดิม TARCO เป็นผู้ให้บริการอยู่แล้ว
พร้อมกับปรับเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนและสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่ม ดังนี้ สัญญาเดิมให้เพิ่มส่วนแบ่งรายได้เป็น 5% จากเดิม 2% และเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 25% จากเดิม 5% โดยจะมีผลทันทีเมื่อลงนามสัญญาสัมปทานระยะที่ 2 คาดว่าไม่เกิน 4 สัปดาห์จากนี้ ส่วนสัญญาใหม่จากการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 ทอท.คิดส่วนแบ่งรายได้ที่ 8% และสัดส่วนถือหุ้น 25%
ทอท.คาดว่าผลจากการลงนามสัญญาครั้งนี้ จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 49 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากส่วนแบ่งรายได้เป็นปีละ 38 ล้านบาท จากเดิม 12 ล้านบาท และรายได้จากสัดส่วนถือหุ้นเป็นปีละ 38 ล้านบาท จากเดิม 15 ล้านบาท โดยสัญญาสัมปทานเดิมและสัญญาใหม่จะสิ้นสุดพร้อมกันในปี 2579
น.ต.ศิธา กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบจัดจ้างผู้รับเหมาซ่อมแซมพื้นผิวทางขับและลานจอดเนื่องจากพบว่ามีความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง โดยจะปิดซ่อม 2 ช่วง ระหว่างกลางเดือน มิ.ย.ถึงต้นเดือน ก.ย.รวม 110 วัน วงเงินประมาณ 67 ล้านบาท และช่วงที่ 2 ปิดซ่อมอีก 200 วัน โดยการจ้างนี้จะให้ผู้รับเหมารับประกันผลงานด้วย ซึ่งเดิม ทอท.ดำเนินการซ่อมเอง และยืนยันว่าการปิดซ่อมครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการบิน เนื่องจากจะมีการประสานกับสายการบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่อาจทำให้ผู้โดยสารไม่รับความสะดวกเพราะต้องใช้ลานจอดระยะไกลแทนสะพานเทียบเครื่องบิน