ส่วนอีก 1 ช่องที่มีความคมชัดสูง (high definition :HD) ยังอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะเข้าร่วมประมูลหรือไม่ เพราะคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)มีแนวโน้มจะออกหลักเกณฑ์ว่าผู้เข้าร่วมประมูลช่อง HD จะประมูลช่องข่าวไม่ได้ นอกจากนั้น ยังต้องศึกษาการแข่งขันด้านราคาประมูล คาดว่าการประมูลช่อง HD จะมีราคาที่สูงมากจากราคาเริ่มต้นที่ทาง กสทช.ตั้งไว้ 1,510 ล้านบาท ทำให้เบื้องต้นบริษัทต้องปรับแผนการประมูลทีวีดิจิตอลแค่ 2 ช่องเท่านั้น
"ถ้าบริษัทฯจะประมูลช่อง HD กระแสเงินสดที่จะนำมาใช้ในการประมูลอาจจะไม่เพียงพอ จึงมองโอกาสในการกู้ยืมเงินจากธนาคาร ซึ่งบริษัทฯได้รับความเชื่อถือจากสถาบันการเงิน เนื่องจากมีสภาพคล่องสูง..แต่ถ้าบริษัทฯได้ HD มา 1 ช่องก็ยังมีความเสี่ยงที่รายได้จะไม่ครอบคลุมต้นทุนในระยะแรก เนื่องจากรายได้หลักของบริษัทฯมาจากค่าโฆษณา ซึ่งค่าโฆษณาที่จะมาลงในช่องทีวีดิจิตอลจะสูงกว่าทีวีปกติ ซึ่งอาจจะทำให้มีคนสนใจมาลงโฆษณาน้อย เนื่องจากมีค่าโฆษณาต่อนาทีที่แพง"นายสุระ กล่าว
นายสุระ กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2/56 คาดว่าจะออกมาดีกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 1/56 เนื่องจากบริษัทได้ปรับขึ้นค่าโฆษณาเฉลี่ย 5% ตั้งแต่เดือน มี.ค.56 อีกทั้งมีสัดส่วนการจองช่วงเวลาโฆษณาเพิ่มมากขึ้นกว่าไตรมาส 1/56 โดยช่วง prime time อยู่ที่กว่า 100% จากไตรมาส 1/56 อยู่ที่ 90% ช่วง Non-prime time จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 50% จากไตรมาส 1/56 อยู่ที่ 40% ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น และคาดว่ากำไรก็จะดีตามไปด้วย
ส่วนแนวโน้มการปรับเพิ่มค่าโฆษณาในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้ยาก เนื่องจากปัจจุบันการแข่งขันสูงทั้งในฟรีทีวีและทีวีดาวเทียม ทำให้ผู้ที่ต้องการลงโฆษณามีตัวเลือกหลากหลายขึ้น หากปรับขึ้นค่าโฆษณาอาจจะกระทบกับอัตราการใช้เวลาโฆษณา ทำให้รายได้ค่าโฆษณาที่เป็นรายได้หลักปรับลดลง แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทพิจารณาปรับผังรายการในเดือน ก.ค.56 เพื่อพัฒนารูปแบบรายการให้เป็นที่สนใจ และดึงดูดให้คนมาลงโฆษณามากขึ้น