ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติทยอยขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าเป็นการทำกำไรในระยะสั้น ขณะที่แนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนในประเทศส่วนใหญ่ ยังคงชะลอการลงทุน เพื่อรอดูการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/56 ว่าจะออกมาในเชิงบวกตามที่เคยมีการคาดการณ์ของกลุ่มนักวิคราะห์ประมาณการณ์ไว้หรือไม่
“FED ยังคงไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องการชะลอหรือหยุดใช้มาตราการผ่อนคลายทางการเงินครั้งที่3(QE3) ทั้งนี้หากมีชะลอการใช้มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างชะลอตัวและปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามหากมีความชัดเจนจาก FED ในเรื่องของมาตการผ่อนคลายเชิงปริมาณแล้วอาจทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยในอีกครั้ง หรือมีการรีบาวน์ในช่วงปลายเดือนกลับขึ้นไป"นายธวัชชัย กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน นายธวัชชัย กล่าวว่า ทาง บล.โกลเบล็ก ยังคงแนะนำให้นักลงทุนหาโอกาสในการทยอยขายทำกำไร พร้อมติดตามสถานการณ์ในประเทศ ซึ่งมองว่าขณะนี้ไม่มีปัจจัยบวกในด้านใดมาสนับสนุน โดยให้กรอบสัญญาณทางเทคนิคแนวต้าน 1,650 จุด ส่วนรับให้ไว้ที่ระดับ 1,540 ,1,515,1,500 จุดตามลำดับ
ขณะที่ นายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก แนะนำกลยุทธ์การลงทุน หุ้น Top Picks ในช่วงเดือนมิถุนายนว่า แนะนำ บมจ. เอ็ม บี เค (MBK) โดย แนะนำให้ “ซื้อ" ซึ่งให้ราคาเป้าหมาย 220 บาท (Buy, TP@220) ทั้งนี้จากกรณีการได้รับส่วนแบ่งจากธุรกิจลูก อาทิ โรงแรมปทุมวันปรินเซส และ สยามพิวรรธน์ รวมถึงการรุกธุรกิจคอนโดแนวสูง ยังคงเป็นประเด็นที่สำคัญที่น่าจับตาในการเข้าไปลงทุน
นอกจากนี้ ยังคงแนะนำ บมจ.น้ำประปาไทย (TTW) โดยให้ราคาเป้าหมาย 12 บาท มี Upside ราว 9% เมื่อเปรียบกับระดับราคาในปัจจุบัน เนื่องจากยังมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้น การกรณีที่หุ้น CK Power เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดย TTW ถือหุ้นอยู่ 25% จะส่งผลดีต่อราคาหุ้น พร้อมกันนี้ในระยะกลาง-ยาว TTW กำลังจะประกาศตั้งโรงไฟฟ้าพลังงาน Solar และ Bio Mass ในไตรมาส 3/56 ซึ่งจะเป็น Upside ในปี 57-58
ส่วน บมจ.โรงพิมพ์ตะวันออก(EPCO) ยังคงเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่น่าจับตา เนื่องจากมองว่าแม้ธุรกิจการพิมพ์ทรงตัว แต่บริษัทฯจะรับรู้กำไรที่เติบโตโดดเด่นจากโรงไฟฟ้าบ่อพลอย 10 MW ในปี 56 และโคกสำโรงในไตรมาส 4/56 ส่งผลให้กำไรปี 56 เพิ่มขึ้น 229% มา อยู่ที่ 155 ล้านบาท จาก 47 ล้านบาท ในปี 55 และกำไรจะเติบโต แตะระดับ 216 ล้านบาท ในปี 57 ดังนั้นในปี 56-57 EPS อยู่ที่ 0.30 บาท และ 0.42 บาท ตามลำดับ บนสมมุติฐาน PE ที่ 20x สะท้อนการเติบโตในปี 56-57 ราคาเป้าหมายที่เหมาะสม 6.00 บาท
ประกอบกับบริษัทกำลังศึกษาการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 10-20 MW ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปใน ไตรมาส 3/56 ความสำเร็จดังกล่าวจะส่งผลให้ตลาดปรับประมาณการราคาเป้าหมายขึ้น จึงแนะนำ"ซื้อ"โดยยังมี Upside 42%