ส่วนงานที่ปรึกษาการร่วมกิจการ หรือ M&A ปัจจุบันมีลูกค้าทั้งหมด 5-6 ราย ในกลุ่มอาหาร ขนส่ง ยานยนต์ และกลุ่มสุขภาพ คาดว่าจะสามารถเจรจาสำเร็จภายในปีนี้ราว 4-5 ราย มูลค่าการ M&A รวมประมาณ 7-8 พันล้านบาท ในขณะเดียวกันปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเป็นที่ปรึกษาการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ 4 กองทุน ขนาดรวมประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสามารถตั้ง 1 กองในไตรมาส 3/56 และส่วนที่เหลือจะจัดตั้งในไตรมาส 4/56
แนวโนมปี 57 ของส่วนงานวาณิชธนกิจ คาดว่ายังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ จากที่ปัจจุบันมีการเจรจากับลูกค้าที่ต้องการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งการตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และจากที่ธนาคารมีบริการครบทุกด้าน รวมถึงการมีเครือข่ายในต่างประเทศ ทำให้ลูกค้าทั้งรายเล็กและรายใหญ่ให้ความสนใจที่จะใช้บริการป็นจำนวนมาก
นายสิทธิไชย กล่าวอีกว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในช่วงนี้ เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) อาจจะลดวงเงินซื้อพันธบัตร และยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) เร็วกว่าคาด ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนอย่างหนัก แต่ก็คาดว่าน่าจะเพียงภาวะชั่วคราวเท่านั้น โดยธนาคารยังคงเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้ที่ 1,800 จุด เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตได้ดี คาดว่าปีนี้กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตราว 23-25% และปี 57 กำไรจะขยายตัว 15% พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่ง และมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล
ส่วนแรงขายของนักลงทุนต่างชาติทึ่ยังออกมาต่อเนื่องนั้น นายสิทธิไชย เห็นว่าเป็นไปตามนโยบายการลงทุนของต่างชาติ เมื่อมีกำไรในระดับพอควร ก็มีการขายออกมา แต่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยก็ยังน่าลงทุนและมีความสำคัญระดับต้น ๆ ของภูมิภาคอาเซียน และเชื่อว่าเมื่อราคาหุ้นปรับลดลงมาในระดับหนึ่ง ก็จะมีนักลงทุนรอช้อนซื้อกลับ โดยเฉพาะในหุ้นที่มีพื้นฐานดี