สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB21DA (อายุ 8.5 ปี) LB176A (อายุ 4.0 ปี) และ LB155A (อายุ 2.0 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 26,768 ล้านบาท 22,906 ล้านบาท และ 17,559 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13625A (อายุ 14 วัน) CB13905B (อายุ 91 วัน) และ CB13704B (อายุ 28 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 38,901 ล้านบาท 26,529 ล้านบาท และ 23,116 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT14DA (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 893 ล้านบาท หุ้นกู้ของธนาคาร เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) รุ่น KK144A (A-) มูลค่าการซื้อขาย 568 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รุ่น THAI165A (A+) มูลค่าการซื้อขาย 555 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในตราสารช่วงอายุ 6 เดือนถึง 1 ปี ในช่วง -1 ถึง -3 Basis Point ขณะที่ปรับตัวสูงขึ้นในตราสารระยะยาว โดยเฉพาะในตราสารอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ในช่วง +5 ถึง +11 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) ตามแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการดูแลความสมดุลของการไหลเข้าออกของเงินทุนระหว่างประเทศของทางการไทย หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ทำการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งนักลงทุนมองว่าไม่มีผลต่อการไหลเข้าออกของกระแสเงินลงทุนต่างชาติ และคาดการณ์ว่าหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องอาจจะต้องมีการบังคับใช้มาตรการอื่นๆ ตามมาในภายหลัง ประกอบกับการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจพิจารณาปรับลดวงเงิน หรือยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเร็วๆนี้ การคาดการณ์ดังกล่าวมีผลทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ (US Treasury) ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และมีผลให้ Yield ของพันธบัตรไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ขายสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 940 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการ ขายสุทธิ 2,185 ล้านบาท ในขณะที่ ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ระยะสั้น 1,245 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนรายย่อย มียอด ซื้อสุทธิ 200 ล้านบาท