"บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรในภูมิภาคอาเซียน โดยมูลค่าการลงทุนรวมราว 400 ล้านบาท แต่บริษัทเสนอไปที่ 200 ล้านบาท โดยการลงทุนบริษัทจะนำโมเดลของ MACO ไปดำเนินธุรกิจ โดยมีสัดส่วนการร่วมทุนอยู่ที่ 60:40 ซึ่งคาดว่าภายในก.ค. 56 จะมีข้อสรุปที่ชัดเจน"
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนสำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ไว้จำนวน 400 ล้านบาท โดยจะใช้ในการพัฒนาสื่อในพื้นที่เดิมจำนวน 260 ล้านบาท โดยจะปรับเปลี่ยนป้ายโฆษณากลางแจ้ง (Billboard) เป็นจอ LED และเพิ่มสื่อบริเวณถนน (Street Furniture) บริเวณตอม่อรถไฟฟ้าบีทีเอส จำนวน 20 สถานี เป็นจอ LED เช่นเดียวกัน ขณะที่เงินลงทุนที่เหลืออีก 140 ล้านบาท จะเตรียมไว้ในการขยายพื้นที่โฆษณาใหม่เพื่มเป็น 1.2 แสนตร.ม. จากเดิม 8 หมื่นตร.ม. โดยจะขยายพื้นที่โฆษณาไปตามหัวเมืองใหญ่ๆในต่างจังหวัด
“สื่อภายนอกที่อยู่อาศัย จำเป็นต้องมีนวัตกรรมการสื่อสารที่แปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ซึ่งการเปลี่ยนป้ายโฆษณาไปเป็น LED นอกจากจะทำให้ดูน่าสนใจมากขึ้นในแง่ของการโฆษณาสินค้าหรือบริการแล้ว ในส่วนของ MACO เองก็จะมีรายได้มากขึ้น โดยคาดว่ารายได้ปีนี้จะโตจากปีก่อน 35% อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้มองที่ตัวเลขรายได้อย่างเดียว เรายังมีเป้าหมายในการรักษาอัตรากำไรสุทธิให้ได้ในระดับ 20% ด้วย ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวม 158.43 ล้านบาท กำไรสุทธิ 35.52 ล้านบาท เป็นอัตรากำไรสุทธิ 22.41% นับว่าอยู่ในเป้าหมายที่วางไว้" นายนพดลกล่าว
ส่วนรายได้ในไตรมาส 2/56 บริษัทคาดว่าจะออกมาดีกว่าไตรมาสเดียวกัยขงปีก่อน เนื่องจาก ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมโฆษณายังมีการเติบโตเป็นอย่างดี เพราะผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นจากการปรับเพิ่มของค่าแรงขั้นต่ำและเจ้าของสินค้าและบริการต้องการสื่อสารกับผู้บริโภคให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่อัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 1/56 อยู่ที่ 22.41% มาจากการที่งานในส่วนของ Non MACO Space มีน้อย ซึ่งงาน Non MACO Space ให้มาร์จิ้นต่ำ จึงทำให้อัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 1/56 อยู่ในระดับที่สูง ทั้งนี้บริษัทพยายามรักษาระดับกำไรสุทธิในปี 56 ให้อยู่ไม่ต่ำกว่า 20%
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมโฆษณายังเติบโตได้ดี เพราะปัจจัยเรื่องค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังในการใช้จ่ายมากขึ้น เจ้าของสินค้าและบริการก็ต้องสื่อสารถึงผู้บริโภคมากขึ้น ขณะที่หน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจ ก็มีการใช้จ่ายงบโฆษณาเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและการเมืองของไทยที่มีเสถียรภาพ ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในการซื้อพื้นที่โฆษณาเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเปิดประชาคมอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ในปี 2558 ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หลายองค์กรหันมาให้ความสำคัญกับการโฆษณาเพื่อสร้างแบรนด์ของสินค้าให้เป็นที่รู้จัก
ปัจจุบันธุรกิจของ MACO แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ธุรกิจสื่อโฆษณาหรือ MACO Space ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก อาทิ ป้ายโฆษณากลางแจ้ง (Billboard) สื่อบริเวณถนน (Street Furniture) สื่อบริเวณสถานีขนส่งและยานพาหนะ (Transit) และธุรกิจ Non MACO Space อาทิ สื่อที่ผลิตตามความต้องการของลูกค้า (Made To Order) การจัดกิจกรรมทางการตลาด (Event) และสื่ออื่นๆ ซึ่งในส่วนของ Non MACO Space นั้น บริษัทฯ จะรับงานที่สอดคล้องกับนโยบายในเรื่องของการเพิ่มรายได้ที่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ด้วย เพื่อไม่ให้กระทบต่ออัตราการทำกำไรของบริษัทฯ และหากเป็นโครงการต่อเนื่องระยะยาวก็จะพิจารณาเป็นพิเศษ