บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯมองว่า แผนปรับอายุ Warrant ของบมจ.เอสพีซีจี(SPCG)ส่งผลลบต่อ Valuation โดยแผนการปรับระยะเวลาแปลงสภาพ Warrant ไม่ได้ทำให้ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจโซล่าฟาร์มยังคงแข็งแกร่งตามปกติ แต่ในแง่ของ Valuation จะได้รับผลกระทบสูงจาก Dilution effect ที่จะเกิดขึ้นเร็วเกินคาดเกือบ 2 ปี ส่งผลให้ราคาเหมาะสมบนฐานจำนวนหุ้นใหม่ 840 ล้านหุ้น อาจจะลดลงเหลือเพียง 26.75 บาท/ หุ้นได้
ทั้งนี้ มองว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มอ่อนตัวลงเพื่อรับรู้ความกังวลจากแนวโน้มจะเกิด Dilution effect ที่สูงนี้ ในเชิงกลยุทธ์เราแนะนำนักลงทุน"ขายทำกำไร"ระหว่างรอความชัดเจนเพื่อจำกัดความเสี่ยงนี้ โดยจะกำหนดราคาเหมาะสมที่จัดเจนอีกครั้ง ภายหลังทราบผลการประชุมวิสามัญฯ 15 ก.ค. นี้
วานนี้ SPCG ได้แจ้งผ่านตลาดฯว่าจะขอจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขอมติปรับระยะเวลาการใช้สิทธิ SPCG-W1 จาก การใช้สิทธิเพียง 1 ครั้งในเดือน มี.ค. 2558 เปลี่ยนเป็นการใช้สิทธิจำนวน 3 ครั้ง ในปี 2556 (ก.ค. ส.ค. และ ก.ย.) โดย SPCG ให้เหตุผลว่า ในปี 2558 เป็นช่วงเวลาที่ SPCG มีฐานะทางการเงินที่แข็งแรงแล้ว ทำให้การได้รับเงินจากการใช้สิทธิแปลงสภาพ SPCG-W1 ในเดือน มี.ค. 2558 จะไม่สอดคล้องกับความต้องการเงินของบริษัทในภาพรวม ดังนั้นจึงมีแผนที่จะขอปรับระยะเวลาแปลงสภาพเป็นภายในปี 2556 จำนวน 3 ครั้งแทน โดย SPCG จะนำเงินที่ได้นี้รับไปเร่งการลดหนี้สินทางการเงิน เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่าย และมุ่งหวังจะจ่ายปันผลได้เร็วขึ้น
หากมีการใช้สิทธิทั้งจำนวนภายในปี 2556 (ปัจจุบัน SPCG-W1 อยู่ในสถานะ In the money) SPCG จะได้รับเงินราว 280 ล้านบาท ซึ่งมองว่าเป็นจำนวนเพียงเล็กน้อยมากเทียบกับหนี้สินทางการเงิน 9 พันล้านบาท ณ 1Q56 โดยหากเราสมมติให้ SPCG นำเงินทั้งหมดนี้ไปชำระคืนหนี้สินทางการเงินนี้ SPCG จะสามารถลดภาระดอกเบี้ยจ่ายได้เพียงราวปีละ 20 ล้านบาท หรือส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 1% เท่านั้นตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป (หมายเหตุ : SPCG-W1 มีอัตราแปลงสภาพ 1 : 1 ราคาใช้สิทธิ 1.00 บาท/ หุ้น)
กำไรต่อหุ้น (EPS) จะได้รับผลกระทบอย่างมากเนื่องจากผลของ Dilution effect สุทธิที่สูงถึง 32% จากจำนวนหุ้นที่จะเพิ่มขึ้นจาก 560 ล้านหุ้น เป็น 840 ล้านหุ้น ในกรณีมีการแปลงสภาพทั้งหมด (Fully diluted basis) ส่งผลให้ราคาเหมาะสม SOTP แม้จะหักหนี้สินที่ลดลงแล้ว ราคาเหมาะสมยังคงได้รับผลกระทบจากจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราพบว่าราคาเหมาะสมของโซล่าฟาร์มทั้ง 36 โรง จะลดลง 32% จาก 32.60 บาท/ หุ้น เหลือ 22.10 บาท/ หุ้น ส่วน upside จากโครงการ solar roof จะถูกทอนลงจาก 7.00 บาท/ หุ้น เหลือ 4.7 บาท/หุ้น ส่งผลให้ราคาเหมาะสมใหม่เบื้องต้นจะหดตัวลงเป็น 26.75 บาท/ หุ้น ซึ่งจะเห็นว่ามี downside 6% จากราคาปัจจุบัน