SANKO คาดอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นหลังติดตั้งเตาหลอม-เครื่องกลึงใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 11, 2013 11:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายรัฐวัฒน์ ศุขสายชล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซังโกะ ไดคาซติ้ง (ประเทศไทย)(SANKO) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งหวังจะเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น(Gross Profit Margin) รวมถึงตั้งเป้าให้มีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคต หลังจากนำเงินบางส่วนจำนวน 30 ล้านบาทจากที่ได้ระดมทุน 57.20 ล้านบาทผ่านการเสนอขายหุ้น IPO ไปเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยการซื้อและติดตั้งเตาหลอมใหม่ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายลดลงไปด้วย รวมถึงทำการทดลองติดตั้งเครื่องหล่อแบบ Gravity Feed Diecasting และติดตั้งเครื่องกลึงที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์เพื่อลดปริมาณการว่าจ้างบุคคลภายนอกในการตกแต่งชิ้นงาน

อนึ่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 52-55 อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17%, 15.5%, 12.5% และ 15.5% ตามลำดับ

“อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ มีการแกว่งตัวขึ้นลงมาโดยตลอด ทำให้เรามุ่งเน้นเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นเป็นสิ่งแรก ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และจะเลือกผลิตสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง และเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย บริษัทฯ ก็ตั้งเป้าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นมีเสถียรภาพในอนาคต อย่างไรก็ตาม เงินส่วนที่เหลือจากการระดมทุน บริษัทฯ จะนำไปซื้อที่ดินเพิ่มเติม เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่จะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต"นายรัฐวัฒน์กล่าว

สำหรับผลการดำเนินปี 56 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเติบโต ตามภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากลูกค้าหลักอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์คิดเป็น 60% ของยอดขายทั้งหมด และที่เหลือเป็นอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ 20% อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า 10% และอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลเกษตรและอื่นๆ

ส่วนในปี 58 บริษัทฯ มองว่า เป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้ยอดขายของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถกระบะขนาด 1 ตัน อันดับ 1 ของโลก และยังครองอันดับ 9 ของประเทศผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ที่สุด ทั้งนี้ มีการประเมินกันว่า ในปีนี้ยอดผลิตรถยนต์ประเทศไทยจะอยู่ที่ 2.55 ล้านคัน และจะเพิ่มเป็น 3 ล้านคันในปี 60

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังมีทำเลที่ดี เนื่องจากมีพรมแดนติดกับประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่และมีโอกาสขยายตัวสูง ประกอบกับประเทศในอาเซียนเป็นประเทศเกษตรกรรมเหมือนกับประเทศไทย ทำให้เชื่อว่า นักลงทุนต่างชาติจะสนใจเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์มากยิ่งขึ้น เพราะประเทศในอาเซียนมีประชากรรวมกันทั้งหมดเกือบ 600 ล้านคน และเป็นประชากรที่อยู่ในวัยแรงงานมากกว่า 100 ล้านคน ทำให้ความต้องการมีอยู่และมีโอกาสเติบโตสูงมากในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ