(เพิ่มเติม) SPCG คาดปรับโครงสร้างทางการเงินแล้วเสร็จใน Q3/56 ก่อนเดินหน้าขยายธุรกิจ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 11, 2013 13:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. เอสพีซีจี (SPCG)คาดว่าบริษัทจะสามารถปรับโครงสร้างทางการเงินแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/56 เพื่อให้สามารถเดินหน้าขยายธุรกิจได้ตามเป้าหมาย โดยบริษัทคาดวาจะได้รับเงินกว่า 500 ล้านบาทในการใช้สิทธิแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท(วอร์แรนต์)ในไตรมาส 3/56 นี้พร้อมกับการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาด 5.5 พันล้านบาทที่จะทำให้บริษัทบันทึกกำไรได้ราว 1.4 พันล้านบาท

สำหรับปี 56 ตั้งเป้ารายได้ที่ 2.4 พันล้านบาท สูงขึ้นจาก 1.2 พันล้านบาทในปีก่อน โดยในช่วงปลายปีนี้น่าจะรับรู้รายได้จากโครงการโซลาร์ฟาร์ม 36 โครงการที่จะแล้วเสร็จครบทั้งหมดภายในเดือนต.ค.56 และคาดว่ารายได้จะเพิ่มเป็นแตะ 4 พันล้านบาทในปี 57 หลังจากรับรู้รายได้โซลาร์ฟาร์มดังกล่าวเต็มที่ทั้งปี ประกอบกับจะมีรายได้จากโซลาร์รูฟเข้ามาด้วย

นอกจากนี้ คาดว่าในเร็ว ๆ นี้จะเซ็นสัญญาความร่วมมือกับ"เคียวเซร่า"เพื่อพัฒนาโซลาร์ฟาร์มในประเทศอินโดนีเซียและซาอุดิอาระเบีย

น.ส.วันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SPCG เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมการที่จะปรับโครงสร้างทางการเงินให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 โดยจะมีการเร่งใช้สิทธิแปลงสภาวอร์แรนต์ที่ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นในปี 58 เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทในไตรมาส 3/56 นี้ โดยคาดว่าจะได้เงินทุนเข้ามาประมาณกว่า 500 ล้านบาท ขณะเดียวกันจะมีการจัดตั้งกองทุน Infrastructure Fund ขนาดประมาณ 5.5 พันล้านบาท คาดว่าจะสามารถบันทึกเป็นกำไร 1.4 พันล้านบาท

บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนต์ และจัดตั้ง infrastructure fund ไปใช้ในการชำระหนี้ในส่วนของเงินกู้มาเพื่อลงทุนในส่วนของทุนมูลค่าประมาณ 3.3 พันล้านบาท เพื่อที่จะให้บริษัทฯสามารถพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม รวมถึงจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่นักลงทุนได้ โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มจ่ายเงินปันผลได้ในปี 57 เนื่องจากในการก่อหนี้เงินกู้จำนวน 3.3 พันล้านบาท มีเงื่อนไขว่าไม่สามารถนำเงินที่ได้จากการประกอบธุรกิจไปใช้ในการปันผล หรือการประกอบธุรกิจใหม่ๆ ต้องมีการชำระเงินกู้ให้หมดก่อนจึงจะสามารถดำเนินการอื่นๆได้

"การปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทฯในครั้งนี้ เราทำเพื่อที่จะให้ตัวบริษัทฯจะสามารถ ประกอบธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงการจ่ายเงินให้แก่นักลงทุนได้ การปรับครั้งนี้ก็เหมือนการปลดเงื่อนไขที่ผูกมัดอยู่ จะทำให้บริษัทฯเราโตได้อีก หากผ่านการปลดเงื่อนไขครั้งนี้ได้"น.ส.วันดี กล่าว

น.ส.วันดี กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้บริษัทฯจะมีการเซ็นสัญญากับบริษัท เคียวเซร่า ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อร่วมกันศึกษาการเข้าไปลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าโซล่าฟาร์มในประเทศ อินโดนีเซีย และซาอุดิอาระเบีย ในขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อที่จะไปลงทุนในพม่าเพิ่มเติมด้วย

ในส่วนของรายได้ปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้นไปที่ 2.4 พันล้านบาท จากปี 55 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท จากที่ปีนี้สามารถรับรู้รายได้เข้ามาจากโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มทั้ง 36 โครงการที่คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จในช่วงเดือน ต.ค.56 จะทำให้รายได้ในปีนี้เติบโตขึ้น

และในปี 57 บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้ทั้งปีของโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม 36 โครงการ รวมถึงจะสามารถรับรู้รายได้ในโครงการแบรนด์ แอมบาสเดอร์ โซลาร์ รูฟ ที่มีการเปิดให้กลุ่มตลาดพรีเมี่ยมและไฮเอนด์ลงทะเบียน 1 พันรายแรกเพื่อรับสิทธิพิเศษ โดยปัจจุบันมีผู้สนใจเข้ามาลงชื่อแล้วกว่า 300-400 ราย คาดว่าจะสามารถบันทึกรายได้เข้ามาในปี 57 จะทำให้รายได้เติบโตมากกว่า 4 พันล้านบาท

น.ส.วันดี กล่าวถึงกรณีราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงในวันนี้ว่าว่า เกิดจากความกังวลใจของนักลงทุน เนื่องจากผลกระทบจากการใช้สิทธิวอร์แรนท์ที่เลื่อนให้เร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตามมองว่าหลังจากที่ผลประกอบการของบริษัทฯออกมาเติบโต และยังมีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสะท้อนในสิ่งที่บริษัทฯเติบโตในที่สุด

"การปรับตัวลงของราคาหุ้นวันนี้ก็มองว่าเป็นการกังวลใจของนักลงทุน และมองว่าเป็นการปรับฐานบ้าง แต่มองว่าหลังจากรายได้ที่เติบโต รวมถึงการขยายธุรกิจของเราอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นและจะสะท้อนถึงราคาหุ้นเอง"น.ส.วันดี กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ