อนึ่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 52-55 อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17%, 15.5%, 12.5% และ 15.5% ตามลำดับ
“อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ มีการแกว่งตัวขึ้นลงมาโดยตลอด ทำให้เรามุ่งเน้นเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นเป็นสิ่งแรก ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และจะเลือกผลิตสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง และเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย บริษัทฯ ก็ตั้งเป้าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นมีเสถียรภาพในอนาคต อย่างไรก็ตาม เงินส่วนที่เหลือจากการระดมทุน บริษัทฯ จะนำไปซื้อที่ดินเพิ่มเติม เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่จะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต"นายรัฐวัฒน์กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 คาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากมีการยกเลิกคำสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์จากลูกค้าบางราย ซึ่งเป็นผลมาจากราคาต้นทุนสินค้าของบริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่าคู่แข่ง แต่การเติบโตในไตรมาส 2 จะใกล้เคียงกันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่ผลการดำเนินงานในปี 56 บริษัทเชื่อว่าจะทำได้ตามเป้าหมายเติบโต 10% สูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ที่คาดว่าจะเติบโต 7-8% เนื่องจากลูกค้าหลักอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์คิดเป็น 60% ของยอดขายทั้งหมด และที่เหลือเป็นอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ 20% อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า 10% และอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลเกษตรและอื่นๆ
และในปีนี้บริษัทจะลงทุนซื้อที่ดินและเครื่องจักร โดยใช้งบลงทุนจำนวน 30 ล้านบาทเพื่อรองรับแผนขยายกำลังการผลิต จากนั้นในปี 57 จะการลงทุนสร้างอาคารและซื้อเครื่องจักรใหม่เข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งจะใช้งบลงทุนอีกประมาณ 30 ล้านบาท และขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัท โตโยต้า หากได้รับออเดอร์เข้ามามาก อาจจะมีการลงทุนสำหรับปีหน้ามากขึ้นด้วย คาดว่าจะใช้งบลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 100 ล้านบาท โดยน่าจะสรุปการเจรจาได้ในช่วงปลายปีนี้
ส่วนในปี 58 บริษัทฯ มองว่า เป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้ยอดขายของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถกระบะขนาด 1 ตัน อันดับ 1 ของโลก และยังครองอันดับ 9 ของประเทศผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ที่สุด ทั้งนี้ มีการประเมินกันว่า ในปีนี้ยอดผลิตรถยนต์ประเทศไทยจะอยู่ที่ 2.55 ล้านคัน และจะเพิ่มเป็น 3 ล้านคันในปี 60
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังมีทำเลที่ดี เนื่องจากมีพรมแดนติดกับประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่และมีโอกาสขยายตัวสูง ประกอบกับประเทศในอาเซียนเป็นประเทศเกษตรกรรมเหมือนกับประเทศไทย ทำให้เชื่อว่า นักลงทุนต่างชาติจะสนใจเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์มากยิ่งขึ้น เพราะประเทศในอาเซียนมีประชากรรวมกันทั้งหมดเกือบ 600 ล้านคน และเป็นประชากรที่อยู่ในวัยแรงงานมากกว่า 100 ล้านคน ทำให้ความต้องการมีอยู่และมีโอกาสเติบโตสูงมากในอนาคต