นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ ก.ล.ต. ระบุว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับลงมาก มาจากแรงขายของนักลงทุนต่าวประเทศเป็นหลัก เนื่องจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐชัดเจนขึ้น และแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะชะลอหรือยุติมาตรการ QE3 ก่อนกำหนด ประกอบกับ S&P ได้ปรับเพิ่มแนวโน้มอันดับเครดิตสหรัฐจาก Negative มาเป็น Stable เนื่องจากเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างประเทศโยกเงินทุนกลับไปยังสหรัฐ
ขณะที่ทางด้านญี่ปุ่น ยังไม่มีความขัดเจนว่าจะดำเนินการใดต่อหลังประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้ว ทำให้ตลาดเกิดความกังวลต่อการฟื้นตัวของญี่ปุ่น ประกอบกับจีนมีแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลง นักลงทุนจึงเริ่มกังวลสถานการณ์เศรษฐกิจของเอเชีย
อย่างไรก็ตาม นายวรพล กล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวจาก 10% มาที่7-8% ในปีนี้ แต่ก็ยังมีการเติบโตที่สูง และเศรษฐกิจอินเดียก็ยังเติบโตดีเช่นกัน ส่วนเศรษฐกิจไทยก็ยังเติบโตดี โดยมีโครงสร้างเศรษฐกิจหลากหลาย ทั้งส่งออก อุตสาหกรรม การบริการ รวมทั้งมีความยืดหยุ่นและทนทานต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดี จึงเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย และไทยเมื่อเห็นราคาดี เหมาะสม
"แรงขายต่างชาติ เป็นเรื่องธรรมดา เขาเข้าลงทุน 7-8 หมื่นล้านบาท เมื่อมีกำไร หุ้นไทยก็ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ก็มีผู้ทำกำไร ปรับพอร์ต ก็อาจคืนกลับเข้ามาถ้าเขาปรับพอร์ตแล้ว"เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว
ปัจจุบัน นักลงทุนสถาบ้นในประเทศหรือกองทุนรวมในขณะนี้ขยายสัดส่วนมากขึ้น รวมถึงนักลงทุนรายย่อนก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนต่าวชาติลดลง ทำให้ขณะนี้นักลงทุน 3 กลุ่มในตลาดหุ้นไทยอยู่ในสัดส่วนไล่เลี่ยกัน
"จะเห็นได้ว่ากองทุน LTF กองทุน RMF มีขนาดใหญ่ขึ้น และจำนวนกองทุนก็เพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งมีกองทุนทริกเกอร์ที่ถือเป็นกองทุนหุ้นระยะกลาง เหล่านี่ช่วยพยุงตลาด หรือไม่ทำให้ตลาดปรับลงไปแรงมากกว่านี้ซึ่งเป็นผลที่ ก.ล.ต.ได้ส่งเสริมมากในการยกระดับสถาบันในประเทศและได้เตรียมความพร้อมกองทุนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา" นายวรพล กล่าว
ทั้งนี้ เลขา ก.ล.ต. เตือนนักลงทุนให้ตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ ติดตามข้อมูล และอย่าตกใจเมื่อมีแรงขายทำกำไรเกิดขึ้น เพราะเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศจะกลับมาเมื่อเห็นว่าลงทุนคุ้มค่า ขณะที่คาดว่าบริษัทจดทะเบียนของไทยยังมีผลประกอบการที่ดีอยู่ และเศรษฐกิจเอเชียก็ยังเติบโตได้ดี