"ครึ่งหลังไม่ได้กังวลเรื่องยอดขายเพราะมี Backlog ถึงไตรมาส 3 แล้ว ตอนนี้ทำเต็มที่ทุกวันหยุด เราส่งออก 90% ตลาดต่างประเทศยังดี ช่วงนี้เงินบาทอ่อนค่าก็จะมีรายได้ในรูปเงินบาทมากขึ้นด้วย แต่ไตรมาส 2 มีวันหยุดเยอะต้องรอดูวอลุ่มด้วย"นายปัญจะ กล่าว
นอกจากนั้น บริษัทยังมั่นใจว่ากำไรจากการดำเนินงานในปี 56 น่าจะสูงกว่าปีก่อน เนื่องจากบริษัทได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและมีอัตราการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรงงาน KCE Tech ที่อยุธยามีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเกือบเต็ม 80% แล้ว และในปีนี้บริษัทอาจมีการรับรู้กำไรพิเศษจากเงินชดเชยน้ำท่วมที่หลือจากปีก่อนเข้ามาอีกราว 100 ล้านบาท
นายปัญจะ กล่าวว่า คำสั่งซื้อที่มีมากกว่ากำลังการผลิต ทำให้บริษัทต้องสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ลาดกระบังคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ ใช้งบลงทุนเบื้องต้นในปีนี้ไม่เกิน 200 ล้านบาท โดยจะสร้างโรงงานในเฟสแรก ก่อนที่จะขยายเป็น 3 เฟส ซึ่งเฟสแรกจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 3-4 แสน ตารางฟุต/เดือน คาดสร้างเสร็จไตรมาส 2/57 จากนั้นจะติดตั้งเครื่องจักร
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะรับรู้รายได้จากยอดขายในเฟสใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 3/57 เป็นต้นไป พร้อมทั้งช่วยลดจำนวนคนงานลง แต่จะเน้นการใช้เครื่องจักรมากขึ้น จะทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น
"เงินลงทุนมาจากกำไรของบริษัทในปี 55 และกำไรปีนี้ก็น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว ซึ่งเงินลงทุนจะมาจากโอเปอเรชั่นทั้งหมดและกู้บางส่วน แต่ไม่เพิ่มทุน"นายปัญจะ กล่าว
นายปัญจะ กล่าวอีกว่า ในระหว่างที่ค่าเงินบาทเกิดความผันผวน บริษัทก็พยายามดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบทั้งในแง่ขาดทุนหรือกำไร ซึ่งบริษัทสั่งซื้อวัตถุดิบและขายสินค้าเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เกิดการป้องกันความเสี่ยงโดยธรรมชาติไปแล้วบางส่วน และอีกบางส่วนก็ได้ทำประกันความเสี่ยงไว้แล้ว
"ตอนนี้พยายาม stabilize ค่าเงินไม่ให้ขาดทุนหรือกำไร ซึ่งก็ต้องดูในแง่บัญชีด้วย เพราะบางส่วนก็ทำออฟชั่นไว้พยายามstabilize ไม่ให้มีผลมาก อย่างเราขายของเป็นดอลลาร์และซื้อวัตถุดิบเป็นดอลลาร์ก็ Natural Hedge กันไปส่วนเกินก็มีการทำ hedge อยู่ที่นโยบาย จะลดความเสี่ยงตรงนี้ไม่ให้หวือหวา แต่โดยปกติถ้าบาทอ่อนขายได้เงินบาทมากขึ้น บาทแข็งก็ได้เงินบาทน้อยลง แต่ในแง่บัญชีมีป้องกันความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะค่าเงินบาทไม่มีทางรู้เลย เพราะมาจาก Flow ของเงินและเทียบเคียงกับประเทศข้างเคียง"นายปัญจะ กล่าว