ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ 2 พันลบ.ของ PF ที่ BB+ แนวโน้ม Negative

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 12, 2013 17:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค(PF) ที่ระดับ “BB+" ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB-" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัท (PF143A, PF153A และ PF15NA) ที่ระดับ “BBB" และหุ้นกู้มีประกัน (PF13NA) ที่ระดับ “BBB-" ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Negative" หรือ “ลบ" ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่จะใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน และรองรับการขยายธุรกิจของบริษัท

หุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัทนั้นถูกค้ำประกันโดย ธนาคารธนชาต ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งที่ระดับ “AA-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" ทั้งนี้ ธนาคารธนชาตค้ำประกันการจ่ายเงิน 60% ของมูลค่าหุ้นกู้

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอซึ่งเป็นผลมาจากอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ต่ำและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่อยู่ในระดับสูง ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะยังอยู่ในระดับสูงต่อไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากบริษัทมีแผนการขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายอย่างต่อเนื่องและยังขยายการลงทุนไปในธุรกิจใหม่ด้วย ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนเพิ่มขึ้นสูงเกินกว่า 2 เท่าในช่วงเวลาหนึ่ง ในทางตรงกันข้าม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจกลับไปเป็น “Stable" หรือ “คงที่" ได้หากสถานะการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้น

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลงานของ PF ในตลาดบ้านจัดสรรและแบรนด์สินค้าที่เป็นที่ยอมรับในตลาดระดับกลางถึงบน อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากสถานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอลงซึ่งเป็นผลมาจากอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างต่ำและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ค่อนข้างสูง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลงทุนในโครงการใหม่จำนวนมาก นอกจากนี้ ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง รวมถึงความกังวลในด้านต้นทุนการดำเนินงานที่ปรับตัวสูงขึ้นและภาวะการขาดแคลนแรงงานในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

PF เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศซึ่งก่อตั้งในปี 2528 โดยนายชายนิด โง้วศิริมณี และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ณ เดือนมีนาคม 2556 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัย 34 โครงการด้วยมูลค่ายอดขายคงเหลือประมาณ 31,000 ล้านบาท และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ประมาณ 7,800 ล้านบาท โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรรคิดเป็นประมาณ 70% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด และโครงการคอนโดมิเนียมอีก 30%

ยอดขายในปี 2555 ของบริษัทเท่ากับ 13,434 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จาก 9,939 ล้านบาทในปี 2554 ยอดขายที่เติบโตขึ้นเป็นผลมาจากยอดขายของโครงการคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 2,647 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 5,962 ล้านบาทในปี 2555 ในขณะที่ยอดขายบ้านจัดสรรเท่ากับประมาณ 7,400 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2554-2555 ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 ลดลง 5% เป็น 2,645 ล้านบาท โดยยอดขายบ้านจัดสรรเติบโต 27% เป็น 2,240 ล้านบาท แต่ยอดขายคอนโดมิเนียมกลับลดลง 60% เหลือเพียง 405 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรใหม่เพียง 2 โครงการในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 และไม่มีการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่แต่อย่างใด

รายได้ของบริษัทในปี 2555 เท่ากับ 9,094 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จาก 8,081 ล้านบาทในปี 2554 โดยรายได้จากทั้งโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมเติบโต 8% และ 10% ตามลำดับ ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 รายได้เพิ่มขึ้น 30% เป็น 2,409 ล้านบาท จาก 1,848 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2555 รายได้จากโครงการบ้านจัดสรรเท่ากับ 1,847 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% ในขณะที่รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมเท่ากับ 75 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2556 ลดลงจาก 466 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2555 ทั้งนี้ บริษัทจะมีรายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการซึ่งมีมูลค่าของยอดขายที่รอรับรู้รายได้แล้วเท่ากับ 2,500 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี 2556

สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอกว่าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำส่วนใหญ่ โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานยังคงต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง อัตราส่วนดังกล่าวเท่ากับ 11% ในปี 2555 และ 13% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 กระแสเงินสดของบริษัทในช่วงปี 2553 ถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 อ่อนตัวลง โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเหลือ 3%-5% ในช่วงปี 2553-2555 และ 1% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 ลดลงจาก 9% ในปี 2552 และ 19% ในปี 2551 นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทก็ยังคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากมีการลงทุนในโครงการใหม่จำนวนมากทั้งโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม จึงทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจาก 49% ในปี 2552 เป็น 61% ในปี 2553 และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 67% ณ เดือนมีนาคม 2556

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปเนื่องจากบริษัทมีแผนขยายการลงทุนไปยังธุรกิจใหม่ ซึ่งได้แก่ธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจในต่างประเทศ บริษัทมีแผนการลงทุนในคอมมิวนิตี้มอลล์หลายแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้กับโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัท ในเดือนกรกฎาคม 2555 บมจ.วีรีเทล(WR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทได้ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินบนถนนรัชดาภิเษก สัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวมีกำหนดระยะเวลาเช่า 30 ปีจากปี 2558 จนถึงปี 2587 โดยมีการชำระค่าตอบแทนค่าเช่าเป็นจำนวนเงินรวม 740 ล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2555-2557 และชำระค่าเช่ารายปีเป็นจำนวนเงินรวม 1,785 ล้านบาทตลอดอายุสัญญาเช่า

นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคม 2555 บริษัทได้ซื้อกิจการ Kiroro Ski Resort จากกลุ่ม Mitsui Fudosan ด้วย โรงแรมดังกล่าวตั้งอยู่ในเมืองฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น โดยทรัพย์สินที่บริษัทซื้อมาประกอบด้วยที่ดิน 292 ไร่ โรงแรม 2 แห่ง และทรัพย์สินอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการการเล่นสกี รวมเป็นเงินที่บริษัทต้องจ่ายทั้งสิ้น 780 ล้านบาท จากแผนการลงทุนของบริษัทที่กล่าวมานั้นคาดว่าจะมีผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัทในอนาคต ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนหาผู้ร่วมทุนสำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ดังกล่าว ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระหนี้สินรวมทั้งลดความเสี่ยงในการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่ไม่คุ้นเคย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ