“การซื้อหนี้ในครั้งนี้ถือได้ว่าน่าพอใจอย่างมาก เพราะซัมมิทแคปปิตอล ลีสซิ่ง เล็งเห็นถึงศักยภาพ และความพร้อมของJMTจึงได้ขายหนี้ด้อยคุณภาพให้กับบริษัทมูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท เพื่อไปมุ่งเน้นธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักเป็นสำคัญส่วนเป้าหมายพอร์ตการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารประเภทสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของบริษัทฯในปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่บริษัทฯ มีหนี้ประเภทลีสซิ่ง ที่ไม่ได้นำมาขายหรือประมูลมากนัก"นายปิยะ กล่าว
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีพอร์ตการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารอยู่ที่ 21,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นพอร์ตหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่85% ขณะที่พอร์ตหนี้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อยู่ที่ 15% แต่คาดว่าในปีนี้พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จะเพิ่มขึ้นเป็น 25% เนื่องจาก JMT เริ่มเป็นที่รู้จักในธุรกิจลีสซิ่งมากขึ้นหลังจากบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีประสบการณ์ ความชำนาญในธุรกิจนี้มายาวนานรวมทั้งมีความพร้อมทั้งทางด้านบุคลากรและเงินลงทุน จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจพร้อมทั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้พอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพของบริษัทฯมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/56 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมาเพราะได้รับปัจจัยบวกจากการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารในครั้งนี้ที่เป็นปัจจัยสนับสนุนรวมทั้งภาพรวมตลาดสินเชื่อที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากนโยบายรถคันแรกและการปล่อยสินเชื่อของภาคเอกชนทั้ง Bank และ Non Bank ที่มีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง ทำให้หนี้เติบโตขึ้นซึ่งเป็นโอกาสของบริษัทฯ ให้เข้าไปประมูลซื้อหนี้เพิ่มอย่างต่อเนื่องได้
ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารเพิ่มอีกจำนวน 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังคาดว่าผลงานทั้งปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยกำไรสุทธิเติบโต 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 109.83 ล้านบาท
“การซื้อหนี้จาก ซัมมิท แคปปิตอบ ลีสซิ่งในครั้งนี้สนับสนุนให้เป้าหมายการซื้อหนี้เข้ามาบริหารในไตรมาส 2/56 เพิ่มอีก 2 พันล้านบาท เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หลังจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา JMT ซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มแล้วมูลค่าราว 2 พันล้านบาทส่วนครึ่งปีหลังจะซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มอีกไตรมาสละ 3 พันล้านบาท"นายปิยะ กล่าว
บริษัทยังเดินหน้าเข้าซื้อหนี้มาบริหารเพิ่มอีกเนื่องจากเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ และมีมาร์จิ้นสูงฉะนั้นยิ่งซื้อหนี้มาบริหารมากเท่าไหร่ ยิ่งจะทำให้ JMT มั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่องเพราะไม่ว่าจะอยู่ในเศรษฐกิจที่ดีหรือไม่ บริษัทฯก็สามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดีสามารถทยอยรับรู้รายได้จากพอร์ตการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพอย่างต่อเนื่องและเมื่อตัดต้นทุนหมด JMT จะรับรู้รายได้ทั้ง 100%