"ปริมาณงานที่มากขึ้น ส่งผลให้งานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 435 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 400 ล้านบาท ทำให้เราปรับประมาณการในส่วนของรายได้แลขกำไรในปีนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้เราก็เดินหน้าหางานใหม่ๆเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยจะเข้าร่วมงานใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับงานในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้"นายสุรเดช กล่าว
นายสุรเดช กล่าวต่อว่า ผลจากปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้มีการเติบโตได้เป็นอย่างดีและคาดว่าอัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะเพิ่มเป็น 5% จากปีก่อนที่ 3% เนื่องจากการรับงานใหม่เพิ่มจำนวนมากและเลือกรับงานที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นสูง
ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัทชนะงานประมูลรถลำเลียงอาหารของ บมจ.การบินไทย(THAI)มูลค่า 180 ล้านบาท คาดว่าจะส่งมอบและรับรู้รายได้ในปีนี้ นอกจากนั้นบริษัทยังรอลุ้นรับงานจากลูกค้าต่างประเทศเพิ่มเติม มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท และมีโอกาสสูงที่จะได้รับงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทผลิตสินค้าได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ส่งมอบงานตรงตามเวลาที่กำหนด รวมถึงการบริการให้กับลูกค้าที่มีความประทับใจ
นอกจากนั้น บริษัทรอยื่นซองประมูลในโครงการหัวรถจักรของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)มูลค่าราว 600 ล้านบาท ในวันที่ 24 มิ.ย. 56 ซึ่งเป็นความร่วมมือภายใต้บริษัทร่วมค้าที่เป็นการจับมือกับพันธมิตรในประเทศ หลังจากที่ยื่นประมูลงานของ รฟท.ไปแล้ว 2 โครงการแต่การประมูลยังไม่สามารถสรุปผลได้ พร้อมกับนั้นยังรอเข้าร่วมประมูลงานรถเมล์ NGV ที่บริษัทหวังว่าจะมีส่วนร่วมประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทั้งหมด คาดว่าจะเริ่มขั้นตอนการประมูลได้ในเร็ว ๆ นี้
นายสุรเดช ยังเปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทคู่แข่งในต่างประเทศอย่างน้อย 2 รายประสบปัญหาในการดำเนินกิจการ และมีบางรายอาจจะสนใจขายกิจการ ซึ่งบริษัทก็อาจจะพิจารณาหากมีการยื่นข้อเสนอมาว่ามีความเป็นไปได้และความคุ้มค่าในแง่การลงทุนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีงานอีกมากที่จะเข้าประมูลและรอผลการประมูล แต่ขณะนี้บริษัทยังไม่แผนที่จะเพิ่มทุนอีกรอบ แต่จะพิจารณาใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินเป็นหลัก ยกเว้นว่าในอนาคตหากได้งานที่มีมูลค่ามากและมีความจำเป็นจึงจะพิจารณา ซึ่งก็ยังมีทางเลือกในการใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ที่สามารถนำมาพิจารณาด้วยในอนาคต
ปัจจุบัน บริษัทคาดการณ์ว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ในไตรมาส 2/56 จะลดลงอย่างมากเหลือเพียง 0.85 เท่า จากไตรมาส 1/56 อยู่ที่ 5.96 เท่า ผลจากการที่บริษัทได้รับเงินเพิ่มทุนในการขายหุ้นสามัญให้กับประชาชน(IPO)จำนวน 200 ล้านหุ้น โดยได้รับเงินทั้งหมด 360 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น 50 ล้านบาท ซึ่งเงินจำวนหนี้บริษัทได้นำไปชำระหนี้ระยะสั้น นำไปใช้ในการพัฒนาหุ้นยนต์ต้นแบบ 2 โครงการ และนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
สำหรับการพัฒนาหุ่นยนต์ต้นแบบ VR7 ที่เป็นหุ่นยนต์ช่วยงานในโรงงานอุตสาหกรรม และ RCR-1 ที่เป็นหุ่นยนต์กรีดยางและเก็บน้ำยาง ซึ่งบริษัทได้ใช้เงินลงทุนในการวิจัยและพัฒนาจำนวน 40 ล้านบาท นอกจากส่วนหนึ่งอาจจะช่วยในแง่การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของบริษัทเองแล้ว บริษัทยังมองโอกาสในการสร้างรายได้ในอนาคตด้วย โดยคาดว่าจะทำการพัฒนาเสร็จภายในปี 57 และสามารถดำเนินงานในเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 58