อย่างไรก็ตาม ตามแผนที่กำหนดไว้ก็คาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ และน่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงต้นเดือน ก.ค.56 แม้ว่าภาวะตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนในขณะนี้ แต่บริษัทไม่ได้กังวลมากนัก จึงคิดว่าจะเดินตามแผนตามที่กำหนดไว้
"ตอนนี้เรายังไม่กังวลมากเกี่ยวกับภาวะตลาดฯที่ผันผวน เพราะเรายังมีความมั่นใจในตลาดฯอยู่ อีกทั้งพื้นฐานทั่วไปก็ไม่ได้ทำให้แผนการขาย IPO ต้องเลื่อนออกไป ดังนั้นเราจึงยังคงแผนเดิมไว้"แหล่งข่าวจาก แม็คกรุ๊ป กล่าว
บมจ.แม็คกรุ๊ป จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 200 ล้านหุ้น โดยมี บล.ธนชาต เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยคาดหวังว่าการระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้น IPO ได้เม็ดเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท
สำหรับเม็ดเงินที่ระดมทุนได้จากการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทฯได้วางแผนไว้ว่าจะนำเงินจำนวน 500 ล้านบาท ไปใช้ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย, จะนำไปใช้พัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์จำนวน 200 ล้านบาท , ใช้จัดทำคลังสินค้าจำนวน 100 ล้านบาท, ใช้จัดทำระบบ IT ช่วยในการจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คาดว่าจะใช้เงินจำนวน 385 ล้านบาท
พร้อมกันนั้น ยังจะนำไปใช้ในการชำระคืนหนี้จำนวน 750 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และใช้เพื่อการลงทุนในอนาคต
"ปัจจุบันเรามีหนี้อยู่ 750 ล้านบาท เมื่อได้เงินจากการขาย IPO มาจะนำมาคืนหนี้ให้หมด แล้วจะทำให้เราไม่มีหนี้อีกเลย ซึ่ง D/E ของเราก็จะเป็นศูนย์ จากปัจจุบันที่บริษัทฯมี D/E 0.7 เท่า"แหล่งข่าวจาก แม็คกรุ๊ป กล่าว
*เป้ารายได้ปีนี้โตกว่า 20%, เป้า Shop สิ้นปีนี้ 574 แห่ง
แหล่งข่าวจาก แม็คกรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทฯคาดว่ารายได้ในปีนี้(2556)น่าจะเติบโตกว่า 20% ได้ เนื่องจากปีนี้บริษัทฯได้มีการเปิดช่องทางการจัดจำหน่าย 6 แห่ง จากปัจจุบันที่มีทั้งสิ้น 511 แห่ง ซึ่งสิ้นปีนี้(2556)บริษัทฯก็คาดว่าจะมีช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งสิ้น 574 แห่ง และในปี 2559 บริษัทฯตั้งเป้าหมายจะมีช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งสิ้น 751 แห่ง
"ใน 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯมีรายได้เติบโตปีละ 40% ซึ่งปีนี้ก็น่าจะทำได้ 2 หลักอยู่ดี แต่ถ้าได้เหมือนเมื่อ 3 ปีที่ผ่านก็จะดีมาก ซึ่งตอนนี้คาดว่ารายได้ปีนี้น่าเติบโตกว่า 20% ตรงนี้น่าจะทำได้แน่"แหล่งข่าว กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมาบริษัทฯมี Net Profit Margin อยู่ที่ 23% และในไตรมาส 1/56 มีอยู่ 27% ในปีนี้ก็คาดหวังว่าจะรักษาระดับ Net Profit Margin ให้อยู่ในช่วง 23-27%
แหล่งข่าว กล่าวว่า บริษัทฯมีแผนขยายตลาดไปยังกลุ่มอาเซียนให้มากขึ้น ทั้งมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และกัมพูชา ด้วยการนำ“แม็ค"(Mc)ยีนส์ ออกไปขายก่อน เนื่องจากสินค้าชนิดนี้เป็นที่นิยม และมีอายุมากว่า 38 ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันก็มีการส่งสินค้าดังกล่าวไปขายที่พม่าและลาวผ่านตัวแทนจัดจำหน่ายแล้ว
"เราพยายามทำตลาดให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่ง"แม็ค"ยีนส์ที่เรานำไปขายในพม่า และลาว เพราะเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยม ถือว่าเป็นแบรนด์ที่แข็งสุดของบริษัทฯ และมีอายุมากว่า 38 ปี ซึ่งสัดส่วนรายได้ในปี 55 จากแม็คยีนส์มีอยู่ถึง 78% ส่วนแม็คเลดี้ McLady)มีสัดส่วนรายได้ 18% และส่วนที่เหลือจะเป็นสัดส่วนของไบสัน(Bison)"แหล่งข่าว กล่าว
อีกทั้ง ล่าสุดไม่นานมานี้บริษัทฯเปิดตัวสินค้าใหม่ภายใต้ชื่อ Blue Brother เป็นสินค้าประเภทยีนส์ เน้นสำหรับผู้ชาย และเป็นสินค้าเกรดดีเนื้อผ้านิ่ม ราคาสูงราว 3 พันบาท ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับความนิยมเช่นกัน