บริษัทเตรียมกลยุทธ์สำคัญเพื่อรักษาความเป็น Top of mind โบรกเกอร์แรกที่นักลงทุนเลือก และเป็น 1 ใน 3 โบรกเกอร์ชั้นนำของตลาด โดยการเสริมจุดแข็งควบคู่กับการสร้างบริการที่แตกต่างให้กับลูกค้า ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนให้ครบถ้วน เพื่อตอบสนองทุกรูปแบบของการลงทุนที่ลูกค้าต้องการ และวางนโยบายขยายฐานลูกค้าร่วมกับธนาคารกสิกรไทย โดยเน้นที่กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงของธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและพร้อมที่จะลงทุนในหลายรูปแบบ
นอกจากนั้นจะเน้นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการลงทุนให้ล้ำหน้าเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าออนไลน์ และพัฒนาบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้ได้ 120 หลักทรัพย์ ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมภายในปีนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งลูกค้าสถาบันและนักลงทุนรายย่อย
"กลยุทธ์เราจะดึงลูกค้าไฮเน็ตเวิร์คและบุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นโดยผ่านทางธนาคารกสิกรไทยซึ่งเป็นแม่และผ่าน บล.กสิกรฯ โดยเฉพาะกลู่มลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ค อยู่ระหว่างวางแผน"นายธิติ กล่าวหลังจากเปิดตัวเข้ารับตำแหน่ง
ทั้งนี้ นักลงทุนรายใหม่ที่เป็นลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่ 66% จะเป็นลูกค้าที่ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต แม้ว่ามูลค่าซื้อขายโดยรวมจะยังไม่สูงเท่ามูลค่าการซื้อขายจากนักลงทุนที่ซื้อขายผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด แต่บริษัทฯเห็นว่าลูกค้าออนไลน์มีศักยภาพและมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น จึงเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้มีความทันสมัยที่สุดเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้ากลุ่มนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น KS Access โบรกเกอร์แรกที่ให้บริการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์แบบออนไลน์ การันตีซื้อขายได้ภายใน 1 วัน KS Chat โปรแกรมแชทสดกับผู้จัดการเงินทุนบุคคลเพื่อปรึกษาเรื่องการลงทุนแบบ Real Time และล่าสุดกับบริการ Bisnews webstation โปรแกรมการลงทุนที่รวบรวมฟังก์ชั่นและเครื่องมือวิเคราะห์หุ้นไว้ได้มากที่สุด เป็นต้น
นายธิติ เปิดเผยอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีงานที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(IPO) 4-5 บริษัท รวมมูลค่าระดมทุนราว 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ในไตรมาส 3-4/56 นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ภายในปีนี้ ซึ่งมีทั้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นอกจากนี้ยังมีงานที่ปรึกษา IPO ที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีก 5 ดีล
"กระแสหุ้น IPO ยังดีอยู่ เพราะตลาดตอนนี้ PE 13 เท่า ไม่แพงถ้าเทียบกับเพื่อนบ้าน และอัตราผลตอบแทนยังดี ดอกเบี้ยยังต่ำยังเอื้อให้คนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น"นายธิติ กล่าว
สำหรับภาวะตลาดหุ้นช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าตลาดทุนโดยรวมจะยังเป็นขาขึ้นตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาการแข็งค่าของเงินเยนและการอ่อนค่าของเงินบาททำให้เกิดการขายสินทรัพย์หรือหุ้นเพื่อนำไปคืนเงินกู้ยืมในสกุลต่างประเทศ(Unwind Carry Trade)จึงทำให้มีแรงขายทำกำไรทั้งหุ้นไทยและหุ้นเอเซียออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อประกอบกับความกังวลต่อแนวโน้มการยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงนโยบาย (QE) ซึ่งอาจกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดหุ้นโลกแล้วนั้น ส่งผลให้นักลงทุนซื้อขายหุ้นในระดับP/Eที่ต่ำลง ซึ่งบริษัทมีความเห็นว่าระดับดัชนี SET ที่ 1,300-1,400 จุด เป็นระดับที่สะท้อนความเสี่ยงจากการขายทำกำไรแล้ว มีความเหมาะสมต่อการเข้าลงทุน
“กลยุทธ์การลงทุนในช่วงไตรมาส 3 จะเป็นลักษณะการซื้อขายในกรอบ (Trading range) ทิศทางของตลาดจะฟื้นตัวตามทิศทางของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศในซีกโลกตะวันตก อย่างสหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งคาดว่าจะฟื้นตัวได้ชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีนี้ และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกลับมาสนับสนุนภาพการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีได้ บริษัทจึงยังคงเป้าหมาย SET Index ของปีนี้อยู่ ที่ 1700 จุด" นายธิติ กล่าว
ส่วนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วันที่ 18-19 มิ.ย.นี้ ประเมินว่าเฟดน่าจะยังคงมาตรการ QE ต่อไปเพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นจริง ซึ่งหากเฟดไม่หยุด QE เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยก็มีโอกาสที่จะกลับไปที่ 1,550-1,600 จุด และทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกรอบ แต่ในทางกลับกับหากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวเร็วกว่าคาด แล้วเฟดลดหรือหยุด QE เร็วกว่ากำหนด ก็จะส่งผลให้ดัชนีลงไปที่ 1,250-1,350 จุด
"รอบนี้สิ่งที่เกิดขึ้นเฟดน่าจะคง QE เพราะประเมินสถานการณ์ตอนนี้สหรัฐยังไม่ดี QE ยังไม่รีบหยุด แต่นักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนช่วงนี้เพราะตลาดสัปดาห์นี้ยังผันผวนระหว่างรอผลประชุม FOMC"นายธิติ กล่าว