นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมงบในการซื้อที่ดินเพิ่มอีก 2-3 แห่ง จำนวนกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนาโครงการอื่นๆในอนาคต ซึ่งได้มีการพิจารณาทำเลบริเวณบางใหญ่และบางบัวทอง ที่ติดกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เพื่อซื้อที่ดินนำมาพัฒนาโครงการ ส่วน Stock Land Bank ของบริษัทปัจจุบันมีจำนวนกว่า 20 แห่งที่ยังไม่ได้มีการพัฒนาโครงการ
นายชาคริต กล่าวว่า บริษัทได้วางแผนในการขยายทำเลในต่างจังหวัดเพิ่มเติมหลังจากได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งปัจจุบนบริษัทฯยังไม่มีโครงการในต่างจังหวัด โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและปรึกษาหารือกันเพื่อหาทำเลในการพัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูง ในต่างจังหวัด อย่างเช่น ข่อนแก่น อุดรธานี ฉะเทริงเทรา และระยอง ซึ่งการเลือกทำเลในการพัฒนาโครงการบริษัทต้องเลือกทำเลที่มีความต้องการซื้อและมีกำลังซื้ออยู่มากจึงจะเข้าไปลงทุน
ล่าสุด บริษัทฯ ได้แต่งตั้งบริษัท แคปปิตอล ลิงค์ แอ๊ดไวเชอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อศึกษาโครงสร้างทางธุรกิจ และโครงสร้างทางการเงิน สำหรับการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใน 2-3 ปีข้างหน้านี้ โดยบริษัทฯมีแผนการระดมทุนเพื่อนำเงินมาขยายธุรกิจและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมาก จามทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความต้องการที่อยู่อาศัยของประเทศไทย
อีกทั้ง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาแผนการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม บริเวณถนนเพชรเกษม ซึ่งมีโอกาสที่จะสรุปแผนของโครงการคอนโดฯ ได้ภายในปีนี้ จากเดิมที่บริษัทได้มีแผนการก่อสร้างคอนโดฯ บนที่ดินติดกับห้างสรรพสินค้า The mall บางแคใกล้รถไฟฟ้าสายสีนำเงิน แต่ถูกยกเลิกไปเนื่องจากทางสถาบันการเงินมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มของคอนโดฯ ที่ล้นตลาด จึงไม่ให้สินเชื่อในการซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการ
สำหรับหนี้สินของบริษัทปัจจุบันมีอยู่กว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้สินที่มาจาก 4 โครงการได้แก่ โครงการ The Idol 1 , 2 , 4 และโครงการบ้านมณฑล 8 ที่มีหนี้สินอยู่เล็กน้อย โดยบริษัทมีนโยบายการชำระหนี้สินให้ตัดชำระ 70% ของยอดโอนโครงการ
นายชาคริต กล่าวต่อว่า บริษัทประเมินการเติบโตของรายได้และกำไรภายใน 3-5 ปีข้างหน้าจะเติบโตปีละ 20% และคาดว่าจะมีรายได้แตะ 1.5 พันล้านบาทได้ในปี 58 จากปี 55 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 159.75 ล้านบาท เนื่องจากการขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯบนทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นทำเลมีความต้องการและมีกำลังซื้ออยู่มาก ประกอบกับราคาขายของโครงการต่างๆของบริษัทฯมีความเหมาะสม สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้ในทุกระดับ
“เราคาดว่าใน 3-5 ปีข้างหน้า รายได้และกำไรเราจะโตปีละ 20% ซึ่งก็คาดว่าในปี 58 รายได้เราจะถึง 1.5 พันล้านบาท ซึ่งมาจากการขยายโครงการต่างๆ ที่เราเลือกทำเลที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะบริเวณเพชรเกษมและพุทธมณฑลที่มีกำลังซื้ออยู่มาก ลูกค้าที่มาซื้ออยู่ในระดับที่ใช้ได้และส่วนใหญ่ทำสินเชื่อก็ผ่านได้ด้วยดี นอกจากนี้โครงการของบริษัทก็ยังมีราคาที่เหมาะสมกับลูกค้าทุกระดับ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1.89 ล้านบาท — 13.8 ล้านบาท ซึ่งเราก็สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ประกอบกับเราก็ถือเป็นรายใหญ่ที่ครองตลาดบริเวณเพชรเกษมและพุทธมณฑลอยู่เช่นกัน"นายชาคริต กล่าว