ทริสฯ เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร LALIN เป็น BBB+ ปรับแนวโน้มเป็น Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 20, 2013 16:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) เป็นระดับ “BBB+" จาก “BBB" และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Stable" หรือ “คงที่" จาก “Positive" หรือ “บวก"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัทที่ดีขึ้นในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ รวมถึงกลยุทธ์การขยายโครงการคอนโดมิเนียมอย่างค่อยเป็นค่อยไปซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งและความหลากหลายของฐานรายได้ให้แก่บริษัท โดยคาดว่าการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมจะส่งผลต่อโครงสร้างทางการเงินของบริษัทในระดับปานกลาง

นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้าง การบริหารการเงินที่รอบคอบ และผลงานที่เป็นที่ยอมรับในตลาดบ้านจัดสรรสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ โดยอันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากการเป็นบริษัทขนาดเล็กเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตเช่นกัน รวมถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง ความกังวลในเรื่องการขาดแคลนแรงงาน และต้นทุนที่ดินและค่าก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้ รวมถึงสามารถปรับเปลี่ยนประเภทของโครงการที่พัฒนาให้สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ในกรณีที่บริษัทมีความต้องการกู้ยืมมากขึ้นสำหรับการขยายธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้านั้น ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนไว้ที่ระดับไม่เกิน 0.6 เท่า

LALIN ก่อตั้งในปี 2531 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2545 นายทวีศักดิ์ วัชรรัคคาวงศ์และนายไชยยันต์ ชาครกุล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วนรวมกัน ณ สิ้นเดือนเมษายน 2556 จำนวน 63% บริษัทเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ โดยมีราคาเฉลี่ยหลังละ 2.7 ล้านบาทในปี 2555 รายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัทซึ่งมากกว่า 90% ของรายได้รวมในปี 2555 บริษัทเริ่มเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมในปี 2554 โดยราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 1.9 ล้านบาทต่อยูนิต

ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยจำนวน 34 โครงการ ด้วยมูลค่าเหลือขายประมาณ 9,700 ล้านบาท บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบจากโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท โดยประมาณ 26% ของยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมที่รอการส่งมอบคาดว่าจะโอนได้ในปี 2556 และส่วนที่เหลือคาดว่าจะโอนได้ทั้งหมดในปี 2557 ทั้งนี้ ความสามารถในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการเสนอราคาขายบ้านในระดับที่ไม่แพง ในขณะเดียวกันก็ยังมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงในระดับประมาณ 40% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ในปี 2555 ยอดขายของบริษัทอยู่ที่ 2,436 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 12% จากปี 2554 ทั้งนี้ การเติบโตของยอดขายส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับการตอบรับที่ดีจากโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายในปี 2555 โดยยอดขายของคอนโดมิเนียมคิดเป็น 20% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2555 อย่างไรก็ตาม ยอดขายของที่อยู่อาศัยแนวราบในปี 2555 ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปี 2554 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี 2555 ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 940 ล้านบาทจาก 360 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2555เนื่องจากผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมหมดไปและการออกสินค้าในโครงการใหม่ๆ

รายได้รวมของบริษัทในปี 2555 ลดลงเล็กน้อยเป็น 1,720 ล้านบาท จาก 1,861 ล้านบาทในปี 2554 เป็นเพราะผลกระทบหลังจากภาวะน้ำท่วมในช่วงต้นปี 2555 และการเลื่อนโอนโครงการคอนโดมิเนียม “ลีโว" อย่างไรก็ตาม รายได้ในไตรมาสแรกของปี 2556 เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 624 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 95% จากช่วงเดียวกันของปี 2555 ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้เป็นผลจากยอดขายของโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่ฟื้นตัวจากภาวะน้ำท่วม โดยทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ 2,000 ล้านบาทในปี 2556 เพิ่มขึ้นจากระดับ 1,700-1,900 ล้านบาทในช่วงปี 2553-2555 สำหรับรายได้ของบริษัทในปี 2557-2558 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2,000-2,500 ล้านบาทต่อปีเนื่องจากสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้น

ฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยส่วนใหญ่ ในช่วงปี 2554 จนถึงช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 40% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้อยู่ที่ 23%-26% ทั้งนี้ คาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 23%-24% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 23.78% เพิ่มขึ้นจากระดับ 16.11% ในปี 2554 เนื่องจากบริษัทมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้เนื่องจากมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 1,550 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 และคาดว่าจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับ 350-400 ล้านบาทต่อปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ