ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 137.96 จุด หรือ 0.91% แตะที่ 14,974.23 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 17.24 จุด หรือ 1.06% แตะที่ 1,611.69 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 38.54 จุด หรือ 1.12% แตะที่ระดับ 3,404.66 จุด
คณะกรรมการเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25% ในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ (19 มิ.ย. ) พร้อมกับย้ำว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไป และจะยังคงเดินหน้าโครงการซื้อสินทรัพย์ในวงเงินปัจจุบันที่ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้ ประธานเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณในด้านลบต่อตลาด ด้วยการแถลงต่อผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมว่า เฟดจะเริ่มชะลอโครงการซื้อพันธบัตร หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในปลายปีนี้ หากเศรษฐกิจฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้
เบอร์นันเก้กล่าวว่า หากข้อมูลเศรษฐกิจที่เฟดจะได้รับในวันข้างหน้านั้นบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ ก็เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะชะลอโครงการซื้อพันธบัตร หรือชะลอกการทำ QE ภายในปีนี้ และหากข้อมูลเศรษฐกิจยังคงออกมาสอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ เฟดก็จะยังคงลดขนาดวงเงินซื้อพันธบัตรไปจนถึงช่วงครึ่งแรกของปีหน้า และจะสิ้นสุดโครงการซื้อพันธบัตรประมาณกลางปีหน้า
ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานขั้นต้นในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 มิ.ย.เพิ่มขึ้น 18,000 ราย สู่ระดับ 354,000 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นสู่ระดับ 340,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 334,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 2,500 ราย สู่ระดับ 348,250 ราย สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงซบเซา
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบหลังจากมาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนมิ.ย.ของสหรัฐ ลดลงแตะระดับ 52.2 จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 52.3
หุ้นนิวมอนท์ในกลุ่มพลังงานดิ่งลง 4.6% หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลง
หุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านร่วงลงแม้ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐพุ่งขึ้นก็ตาม โดยหุ้นพัลท์กรุ๊ป ร่วงลง 6.4% และหุ้นดีอาร์ ฮอร์ตัน ดิ่งลง 5.5%
หุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ร่วงลง 2.5% ขณะที่หุ้นอินเทล คอร์ป ร่วงลง 2%