ก.ล.ต. ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นายหาญฤทธิ์ ขายหุ้น LVT จำนวน 711,300 หุ้น ในบัญชีซื้อขายหุ้นของนิติบุคคลที่มีนายหาญฤทธิ์เป็นกรรมการผู้มีอำนาจและถือหุ้นอยู่ร้อยละ 99.98 ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัย ข้อเท็จจริงด้านลบอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้น LVT ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชนเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของ LVT
ทั้งนี้ ในงวดไตรมาส 1/2553 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 37.65 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 47.09 ล้านบาท มีมูลค่าความแตกต่างกันจำนวน 84.74 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 179.95 และหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (ไตรมาส 4/2552) ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 22.12 ล้านบาท มีมูลค่าความแตกต่างกันจำนวน 59.77 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 270.21 ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับผลประกอบการของบริษัทตลอดช่วง 3 ปีก่อนหน้า(ระหว่างปี 2550-2552)ที่บริษัทมีผลกำไรติดต่อกันทุกไตรมาส อันเป็นข้อมูลที่นายหาญฤทธิ์ได้ล่วงรู้ข้อมูลภายในดังกล่าวมาจากการเป็นกรรมการของ LVT ในขณะนั้น
การกระทำของนายหาญฤทธิ์ ซึ่งเป็นบุคคลภายในบริษัท LVT เป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนมาตรา 241 ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยที่นายหาญฤทธิ์ยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบ คณะกรรมการเปรียบเทียบจึงได้เปรียบเทียบปรับนายหาญฤทธิ์ เป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท