สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 4.0 ปี) LB155A (อายุ 1.9 ปี) และ LB21DA (อายุ 8.5 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 41,714 ล้านบาท 20,040 ล้านบาท และ 8,056 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13801A (อายุ 1 เดือน) CB13718C (อายุ 28 วัน) และ CB14109A (อายุ 1 ปี) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 29,636 ล้านบาท 28,155 ล้านบาท และ 28,087 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT138A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 1,122 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) รุ่น CPF185A (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 622 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) รุ่น LH137A (A) มูลค่าการซื้อขาย 562 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งเส้น โดยเฉพาะตราสารหนี้อายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ในช่วงประมาณ 15 ถึง 30 Basis Point ขณะที่ตราสารอายุน้อยกว่า 3 ปี แกว่งตัวในกรอบแคบๆ ประมาณ 1 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) โดยผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก ท่ามกลางแรงขายอย่างหนักของนักลงทุนต่างชาติ หลังจากคำแถลงการณ์ของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ภายหลังการประชุม FOMC (18-19 มิ.ย.) สิ้นสุดลง ว่า Fed จะเริ่มชะลอการเข้าซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ภายในช่วงปลายปี 2556 นี้ หากข้อมูลเศรษฐกิจยังคงออกมาสอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งการลดขนาดวงเงินซื้อพันธบัตรจะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงช่วงต้นปีหน้า และอาจยุติมาตรการ QE ได้ในช่วงกลางปี 2557 โดยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ที่เริ่มมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ที่ Fed จะทยอยปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในไม่ช้านี้ตามที่แถลงต่อผู้สื่อข่าว สำหรับทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์หน้า ยังคงต้องจับตาการเคลื่อนย้ายเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติอย่างใกล้ชิด รวมถึงติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ และข้อมูลการส่งออกของไทย ไปจนถึงเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างๆใน เดือน พ.ค. ด้วยเช่นกัน
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ขายสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 13,227 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 6,823 ล้านบาท และ ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 6,403 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนรายย่อย มียอด ซื้อสุทธิ 319 ล้านบาท