ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ถือเป็นการสร้างความมั่นคงทางการผลิตสินค้าเพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดและผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ยังเป็นการสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการตลาดที่มุ่งเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ตราเพชร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการทำตลาดผ่านช่องทางขายร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ และลูกค้ากลุ่มโครงการ รวมถึงผลักดันรายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย
“กลยุทธ์การสร้างความหลากหลายของสินค้าตราเพชร เป็นกุญแจแห่งความสำเร็จต่อการสร้างการเติบโตในระยะยาวให้กับ DRT ซึ่งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของตราเพชรต่อจากนี้ จะมุ่งตอบสนองลูกค้าที่ต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างที่นำไปใช้เพื่อลดระยะเวลาการก่อสร้างและต้นทุนการก่อสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบายในการติดตั้งได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการรองรับการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงยังส่งผลดีต่อการขยายตลาดส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย" นายสาธิต กล่าว
รองกรรมการผู้จัดการสายการขายและการตลาด DRT กล่าวว่า บริษัทยังปรับสัดส่วนรายได้จากยอดขายให้มีความสมดุลและเหมาะสมต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของ DRT ในระยะยาว โดยสัดส่วนยอดขายจากผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มหลังคาจะอยู่ที่ 60% และกลุ่มผลิตภัณฑ์ผนังจะอยู่ที่ 40% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนยอดขาย 70 ต่อ 30 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการรุกเข้าสู่ธุรกิจอิฐมวลเบาภายใต้แบรนด์ตราเพชร ด้วยกำลังการผลิตรวมทั้ง 2 โรงงาน กว่า 5.2 ล้านตารางเมตรต่อปี ถือเป็นเบอร์ 2 ของตลาด ที่สามารถเริ่มผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายนนี้และได้รับการตอบรับที่ดีจากช่องทางการจัดจำหน่าย และผู้บริโภค
“เราคาดว่าจากแนวทางการดำเนินยุทธศาสตร์สร้างการเติบโตในระยะยาวครั้งนี้ จะช่วยผลักดันรายได้ของ DRT ให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 10% ต่อปี และจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 30% เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและผู้ถือหุ้นของบริษัท"นายสาธิต กล่าว