สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/56 คาดว่ากำไร KBANK จะเติบโตดีจากการขยายตัวของสินเชื่อ และค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีกำไรสูงกว่าไตรมาส 1/56 ที่ทำไว้ 10,100 ล้านบาทด้วย เพราะไตรมาส 1/56 มีการตั้งสำรองหนี้เสียไว้ค่อนข้างสูง
นอกจากนั้น ปีนี้คาดว่าสินเชื่อของ KBANK จะเติบโต 10% โดยในช่วงครึ่งปีหลัง(H2/56)มักจะมีการขยายตัวของสินเชื่อมากกว่าครึ่งปีแรก(H1/56)ส่วนตัวเลข NPL ปัจจุบันอยู่ที่ 2.1% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ ซึ่งรายได้จากค่าธรรมเนียม และธุรกิจประกันยังมีการเติบโตที่ดี
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 56 ในช่วง 39,000-42,700 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 35,000 ล้านบาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ซื้อ 228 บล.ธนชาต ซื้อ 226 บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซื้อ 260 บล.ทิสโก้ ซื้อ 242 บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ซื้อ 249 บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 232
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า หุ้น KBANK ถือเป็นหุ้น Lead ของกลุ่มแบงก์ในการปรับตัวขึ้นหรือลง ปัจจุบันราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมาจนมี upside มากเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ที่ 232 บาท/หุ้น ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่เป็นผลจาก Flow ที่ไหลออก และจาก Sentiment ของตลาดโดยรวม
นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาปิดเมื่อปี 55 ที่ 193.50 บาท ดังนั้น KBANK จึงยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจซื้อ เพียงแต่การเข้าซื้อจะเมื่อใดเท่านั้น
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/56 ของ KBNAK คาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่ดีกว่าไตรมาส 1/56 ที่มีกำไรสุทธิ 10,100 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 1/56 มีการตั้งสำรองหนี้ฯอยู่ค่อนข้างมาก
นายธนเดช กล่าวต่อว่า สินเชื่อของ KBANK ในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10% ซึ่ง 5 เดือนแรกของปีนี้สินเชื่อเติบโตราว 3.5% ซึ่งยังไม่มาก แต่ก็ยังคงประมาณการไว้ที่เดิม เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลัง(H2/56)KBANK มักจะมีการขยายตัวของสินเชื่อมากกว่าครึ่งปีแรก(H1/56)
ส่วนตัวเลข NPL ปัจจุบันอยู่ที่ 2.1% ไม่ได้เป็นปัญหา พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ 56 ไว้ที่ 41,300 ล้านบาท เติบโต 17% จากปีที่แล้ว
ด้านนายอดิศร มุ่งพาลชล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า ราคาหุ้น KBANK ในปัจจุบันมี upside ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายที่ 249 บาท/หุ้น ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่ โดยปีนี้คาดว่าสินเชื่อของ KBNAK จะเติบโต 10% ขณะที่ตัวเลข NPL น่าจะอยู่ในระดับต่ำที่ 2.1% โดยรายได้จากค่าธรรมเนียม และธุรกิจประกันยังมีการเติบโตที่ดี
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 56 ไว้ที่ 39,000 ล้านบาท เติบโต 9% จากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 35,000 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการงวดไตรมาส 2/56 คาดว่าจะทรงตัวจากไตรมาส 1/56 ที่มีกำไรสุทธิ 10,100 ล้านบาท ซึ่งหาก KBANK ทำกำไรได้เท่าไตรมาส 1/56 ก็ถือว่าดีเลยทีเดียว
ส่วนนายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง ให้เหตุผลที่แนะนำ"ซื้อ"หุ้น KBANK ด้วยราคาเป้าหมายที่ 251 บาท/หุ้น เนื่องจากเป็นแบงก์ที่มีผลกำไรเติบโตดีจากการปล่อยสินเชื่อ โดยปีนี้คาดว่าสินเชื่อจะขยายตัวโดดเด่น และปัจจุบันราคาหุ้นก็ปรับตัวลงมามากแล้ว เทรดที่ค่า P/E แค่ 10 เท่า ถือว่าถูกเมื่อเทียบกับผลกำไรของ KBANK ที่คาดว่าจะเติบโต 21% ในปีนี้
ทั้งนี้ คาดว่า KBANK ปีนี้จะมีกำไรสุทธิ 42,700 ล้านบาท เติบโต 21% จากปีที่แล้ว และปี 57 ก็ยังมีกำไรเติบโต 14% มาอยู่ที่ 48,700 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/56 คาดว่ากำไรของ KBANK จะมีการเติบโตที่ดีจากการขยายตัวของสินเชื่อ และค่าใช้จ่ายต่อรายได้ที่ลดลง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีกำไรสูงกว่าไตรมาส 1/56 ด้วย เพราะไตรมาส 1/56 KBANK มีการตั้งสำรองหนี้เสียไว้สูงมาก