นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG กล่าวว่า บริษัทฯ มีแนวโน้มที่จะมีการปรับเป้ายอดขายเพิ่มหลังไตรมาส 2 จากเดิมอยู่ที่ 4.35 แสนล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1/56 ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก โดยเม็ดพลาสติก PP มีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 633 เหรียญสหรัฐ และเม็ดพลาสติก PE ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์สูงขึ้นมาที่ 585 เหรียญสหรัฐ ถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก เนื่องจากซัพพลายที่เข้ามาในตลาดยังมีจำกัด แต่ความต้องการเริ่มมากขึ้น
ดังนั้น ทำให้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ความต้องการจะดีขึ้น จากผลประกอบการโดยรวมมีโอกาสเติบโตมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก และในช่วงไตรมาส 3 ปกติจะเป็นฤดูกาลขายอยู่แล้ว เพราะเป็นช่วงฤดูเกษตรของประเทศจีน จะทำให้ได้รับกำไรในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น แม้ว่าสัญญาณเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่คาดว่าราคาส่วนต่างผลิตภัณฑ์ก็ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับที่ดี
สำหรับแนวโน้มผลงานไตรมาส 2/56 คาดว่าจะยังเติบโตได้ดี จากราคาส่วนต่างผลิตภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระดับสูง
ส่วนปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทนั้น ที่ผ่านบริษัทฯ มียอดการส่งออกสินค้า 29% ของยอดผลิตทั้งหมด และคิดเป็นการส่งออกภายในอาเซียนเพิ่มขึ้น 42% ซึ่งยังอยู่ในระดับการเติบโตที่ดี ขณะที่ภายในประเทศก็ยังมีสัญญาณการเติบโตของเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในระดับใกล้เคียง 5% มองว่าอยู่ในระดับที่สูง และเศรษฐกิจไทยใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน
อย่างไรก็ตาม กรณีค่าเงินบาทที่แข็งค่าถึง 28 บาท/เหรียญสหรัฐ ทำให้มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการส่งออกนั้น เชื่อว่าจะเป็นการแข็งค่าในระยะสั้นเท่านั้น และอยากเห็นค่าเงินบาทอยู่ในระดับ 30-31 บาท/เหรียญสหรัฐซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทฯ รวมไปถึงผู้ส่งออก และควรจะอยู่ในระดับที่เทียบเคียงกับภูมิภาคเช่นกัน
นายกานต์ กล่าวว่า บริษัทมีโครงการเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศพม่า โดยใช้เงินลงทุนจำนวน 400 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ กำลังผลิต 1.8 ล้านตัน/ปี คาดว่าจะนำเสนอแผนงานเข้าการประชุมคณะกรรมการบริษัทได้ภายใน ก.ค-ส.ค.นี้ ขณะเดียวกันจะเข้าไปลงทุนซื้อโรงงานกล่องกระดาษที่ประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ มูลค่าการลงทุน 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เข้ามาในไตรมาส 4/56