แม้ว่าระยะสั้นตลาดหุ้นไทยจะยังมีความผันผวนต่อกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุน หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)มองแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น ทำให้มีโอกาสในการชะลอมาตรการ QE และคาดว่าจะเกิดในปลายปีนี้ และน่าจะสิ้นสุดมาตรการในกลางปี 57 ซึ่งส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน
"การที่สหรัฐจะชะลอหรือยกเลิกมาตรการ QE ต้องขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯต้องมีการขยายตัว 3-3.5% อัตราการว่างงานอยู่ที่ 6.5% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2% ซึ่งถ้าไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็ต้องมีการเลื่อนออกไป ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่แน่นอน"นายธนเดช กล่าว
นายธนเดช กล่าวต่อว่า เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในระยะกลาง-ยาวยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่ จากปัจจัยบวกเกี่ยวกับการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ประกอบกับ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยยังมีการเติบโตในระดับ 4.5-5% และจากปัจจัยภายนอกเกี่ยวกับธนาคารกลางของสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และยุโรป ยังคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ทำให้สภาพคล่องทางการเงินยังมีอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกในระยะยาว รวมไปถึงเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกจะเริ่มดีขึ้น
"ขณะนี้ราคาหุ้นไทยถือว่ายังไม่แพงมาก หากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว ก็เป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปซื้อหุ้น แต่นักลงทุนก็ต้องมีการพิจารณาค่าเงินบาทประกอบการลงทุนด้วย หากค่าเงินบาทอ่อนค่าอยู่ก็ยังมีความเสี่ยงในการลงทุน เพราะโอกาสในการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติยังอยู่ในระดับสูง"นายธนเดช กล่าว
ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังมีหุ้นที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ อย่างหุ้น KBANK เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และหนี้เสียลดลง, หุ้นในกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี เช่น PTT และ BCP แม้ผลประกอบการในไตรมาส 2/56 จะออกมาไม่ดีนัก แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวอย่างแน่นอน แม้ว่าหุ้นในกลุ่มนี้จะไม่ใช่ High Growth แต่ Divident Yield ในระดับที่สูง เพราะการลงทุนระยะยาว อีกทั้งกลุ่มสื่อสาร เช่น INTUCH และ ADVANC เนื่องจาก ROE อยู่ที่ 50% แต่ตลาดมี ROE ที่ 15.3% และยังมีแรงหนุนจาก 3G ซึ่งจะให้ผลตอบแทนในระยะยาว ประกอบกับหุ้นในกลุ่มสื่อสารมีเงินทุนอยู่มาก ทำให้ขยายการลงทุนได้ในระยะยาว
ส่วนหุ้นในกลุ่มอสังหาฯ ที่มีความโดดเด่น คือ LH กับ PS และรับเหมาก่อสร้าง อย่างหุ้น CK กับ STEC โดยกลุ่มรับเหมาฯ ผลประกอบการในไตรมาสแรกออกมามีกำไรสูง และ Backlog ค่อนข้างมากที่จะรองรับการเติบโตต่อไปในอนาคต
ความเสี่ยงในการลงทุนในครึ่งปีหลัง ก็มีเรื่องกระแสเงินทุนไหลออกอย่างรวดเร็ว จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังถือว่าในภาวะที่อ่อนแอ หลัก ๆ มาจากเศรษฐกิจจีนทีมีแนวโน้มการชะลอตัวลง